คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7157/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ ได้ขับรถยนต์ คันดังกล่าวในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทน ช.แม้จะมิได้บรรยายว่าช.เป็นผู้เอาประกันภัย แต่ก็มีความหมายอยู่ในตัวแล้ว โดยบรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย รถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ ช.แสดงว่าช. เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวเมื่อตัวแทน ของผู้เอาประกันภัยไปกระทำละเมิด ผู้เอาประกันภัย ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดด้วย ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน7ธ-8340 กรุงเทพมหานคร โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อจากบริษัทเอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัดเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8ข-8251 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชาญชัย สุทธิชัยพิมิต โดยยอมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของนายชาญชัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่โจทก์เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2537 นายพิชิต โพธิ์วิเชียร น้องชายโจทก์ได้ขับรถยนต์ของโจทก์มาตามถนนสุโขทัยจากด้านสามแยกสุโขทัยแมนชั่นมุ่งหน้าสู่สี่แยกสุโขทัยและได้หยุดรถรอสัญญาณไฟแดงเป็นคันแรกอยู่ในช่องเดินรถช่องที่ 2 ทันใดนั้นมีรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8ข-8251 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชาญชัยโดยมีจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนนายชาญชัยเป็นผู้ขับและครอบครองขับมาด้วยความประมาทเลินเล่อและด้วยความเร็วสูงมิได้ลดความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงสี่แยกสุโขทัยเพื่อให้รถหยุดได้ทันในจังหวะสัญญาณไฟแดงทำให้รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ของโจทก์อย่างแรงเป็นเหตุให้ช่วงท้ายรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายยับเยิน หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยอมรับต่อพนักงานสอบสวนว่าได้ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อ และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้แทนตน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน276,868.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 260,905.93 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน 7ธ-8340 กรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้เช่าซื้อฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 2มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 อย่างไร จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะอะไร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2เคลือบคลุมสำหรับจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหาย 260,905.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2537 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 239,305.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัดเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8ข-8251 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชาญชัย สุทธิชัยพิมิต โดยยอมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของนายชาญชัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่โจทก์ และบรรยายในฟ้องข้อต่อมาเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ว่า ขณะที่นายพิชิต โพธิ์วิเชียร ขับรถยนต์ของโจทก์ไปหยุดรอสัญญาณไฟแดงอยู่ ณ สี่แยกที่เกิดเหตุมีรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8ข-8251กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชาญชัยโดยมีจำเลยที่ 1ในฐานะตัวแทนนายชาญชัยเป็นผู้ขับและครอบครองพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนนายชาญชัย แม้จะมิได้บรรยายว่านายชาญชัยเป็นผู้เอาประกันภัยแต่ก็มีความหมายอยู่ในตัวแล้ว โดยบรรยายว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชาญชัยแสดงว่านายชาญชัยเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อตัวแทนของผู้เอาประกันภัยไปกระทำละเมิดผู้เอาประกันภัยในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดด้วยฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share