แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ให้จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันโดยไม่ต้องใช้เช็คเบิกถอนเงินตามปกติหากแต่เป็นบัญชีกระแสรายวันที่ใช้เพื่อให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยฝ่ายเดียวโดยเฉพาะ มิใช่กรณีที่โจทก์จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวขึ้นโดยมีเจตนาตกลงกันโดยตรงให้ตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยนั้นหักกลบลบกัน แล้วคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือ อันเป็นลักษณะสำคัญของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดคงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น
สัญญาการใช้บัตรเครดิตเป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจออกบัตรเครดิตให้จำเลยเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการโดยใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้แทนการชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วยเงินสดตลอดจนสามารถใช้บัตรเครดิตนั้นเบิกถอนเงินสดอันเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าว โดยโจทก์จะออกเงินทดรองจ่ายให้จำเลยก่อน และโจทก์คิดค่าธรรมเนียมในการให้บริการบัตรเครดิตดังกล่าวด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้จำเลยเรียกเอาเงินที่ได้ทดรองออกไปแม้จำเลยจะมีข้อตกลงให้โจทก์หักเงินที่โจทก์ได้จ่ายแทนจำเลยจากบัญชีกระแสรายวันโดยให้ถือว่ายอดหนี้ตามบัญชีเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ด้วยก็เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดจากบัตรเครดิตมิใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเดินสะพัด จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 ซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้หรือนำเงินเข้าบัญชีลดยอดหนี้ภายในสิ้นเดือนนั้นแต่จำเลยมิได้ชำระให้เสร็จสิ้นทั้งมิได้นำเงินส่งเข้าบัญชีเพื่อลดยอดหนี้ โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไป เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีวันที่ 25 มิถุนายน 2540 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทยของโจทก์จำเลยนำบัตรดังกล่าวไปใช้ซื้อสินค้าบริการและเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินแทนไป และเรียกเก็บจากจำเลย จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 136,777.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 86,824.05 บาท เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า หนี้ที่โจทก์เรียกร้องได้ขาดอายุความแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยได้ยื่นคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันและขอใช้บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย สำหรับวงเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการและเบิกถอนเงินสดตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ต่อโจทก์ โดยโจทก์จะจ่ายเงินทดรองแทนจำเลยไปก่อนแล้วมีใบแจ้งหนี้ไปเรียกเก็บจากจำเลยในภายหลัง หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินภายในเวลาที่กำหนดในใบแจ้งหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์จะพึงเรียกเก็บได้ หลังจากโจทก์อนุมัติให้จำเลยใช้บัญชีกระแสรายวันและบัตรเครดิตดังกล่าวแล้ว จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดจากร้านค้า และเมื่อร้านค้าเรียกเก็บเงินมายังโจทก์ โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินแทนจำเลยไปทุกครั้งตามรายการซื้อสินค้าและใบแจ้งหนี้ เอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 แต่จำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ไม่ครบถ้วนตามที่แจ้งไป และจำเลยได้ใช้บัตรเครดิตประกอบรหัสเบิกถอนเงินสดออกจากเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ ตามการ์ดบัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.13 หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ใช้บัตรเบิกถอนเงินออกจากเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติอีกเลย โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้การใช้บัตรเครดิตเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์2539 ครบกำหนดระยะเวลาตามหนังสือทวงถาม จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการคิดดอกเบี้ยจากเดิม ซึ่งคิดแบบทบต้นเป็นแบบไม่ทบต้นตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2536 ณ วันที่ดังกล่าว ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 86,824.05 บาท ตามเอกสารหมาย จ.13 ซึ่งโจทก์ได้คำนวณดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวแบบไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดคำนวณถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 49,953.39 บาท
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกมีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือสัญญาการใช้บัตรเครดิตหรือไม่เห็นว่า ลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 นั้น เป็นสัญญาที่คู่สัญญามีเจตนาตกลงกันจัดให้มีบัญชีหนี้ขึ้น และให้ตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค สำหรับนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้แม้โจทก์จำเลยได้ตกลงเปิดบัญชีกระแสรายวันขึ้นในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2534 ตามคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งระบุเงื่อนไขในการสั่งจ่ายและถอนเงินโดยทั่วไปไว้ตามข้อ 7 ว่า เมื่อจะสั่งจ่ายหรือถอนเงินให้ใช้เช็คซึ่งโจทก์มอบให้ใช้สำหรับแต่ละบัญชีโดยเฉพาะ แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มอบสมุดเช็คให้จำเลยไว้เพื่อสั่งจ่ายหรือถอนเงินจากบัญชีกระแสรายวันดังกล่าว และตามใบสมัครและข้อตกลงการเป็นผู้ถือบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.4 ในรายการช่องที่ 6 มีข้อความระบุว่าจำเลยขอให้ธนาคารโจทก์เปิดบัญชีกระแสรายวันสำหรับใช้กับบัตรเครดิตของธนาคารโจทก์แก่จำเลย และขอให้โจทก์ออกบัตรเครดิตพร้อมรหัสให้แก่จำเลย โดยจำเลยสมัครเป็นผู้ถือบัตรเครดิตดังกล่าววันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2534 วันเดียวกับที่ขอเปิดบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ตามสัญญาและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตท้ายใบสมัครและข้อตกลงการเป็นผู้ถือบัตรเครดิต เอกสารหมาย จ.4 ดังกล่าว ในข้อ 2 วรรคสอง ระบุว่า เมื่อธนาคารโจทก์จ่ายเงินไปให้ก่อนแล้วจำเลยผู้ถือบัตรเครดิตยินยอมชดใช้เงินแก่ธนาคารโจทก์เต็มจำนวน โดยวิธีการให้ธนาคารโจทก์โอนชำระจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันบัตรเครดิต ตามพฤติการณ์และข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวมาแสดงให้เห็นว่า โจทก์ให้จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันโดยไม่ปรากฏว่าให้มีการใช้เช็คเบิกถอนเงินตามปกติ หากแต่เป็นบัญชีกระแสรายวันที่ใช้เพื่อให้จำเลยชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยฝ่ายเดียวโดยเฉพาะ มิใช่กรณีที่โจทก์จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวขึ้น โดยมีเจตนาตกลงกันโดยตรงให้ตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองคือโจทก์และจำเลยนั้นหักกลบลบกัน แล้วคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือ อันเป็นลักษณะสำคัญของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามมาตรา 856 ดังกล่าวแล้ว สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด คงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตเท่านั้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปมีว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า สัญญาการใช้บัตรเครดิตตามฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจออกบัตรเครดิตให้จำเลยเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและบริการโดยใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้แทนการชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วยเงินสดตลอดจนสามารถใช้บัตรเครดิตนั้นเบิกถอนเงินสดอันเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าว โดยโจทก์จะออกเงินทดรองจ่ายให้จำเลยก่อน และโจทก์คิดค่าธรรมเนียมในการให้บริการบัตรเครดิตดังกล่าวด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้จำเลยเรียกเอาเงินที่ได้ทดรองออกไป แม้จำเลยจะมีข้อตกลงให้โจทก์หักเงินที่โจทก์ได้จ่ายแทนจำเลยจากบัญชีกระแสรายวันโดยให้ถือว่ายอดหนี้ตามบัญชีเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ด้วยก็เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดจากบัตรเครดิต มิใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเดินสะพัด จึงมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) เมื่อปรากฏว่าวิธีการชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิตโจทก์จะใช้วิธีโอนจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันมาชำระหนี้ ทั้งนายวีรวุฒิ สุขสรรควณิช พยานโจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยยืนยันว่ามูลหนี้ตามฟ้องเป็นมูลหนี้จากการใช้บัตรเครดิต จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 ซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้หรือนำเงินเข้าบัญชีลดยอดหนี้ภายในสิ้นเดือนนั้น ตามข้อ 3 ของสัญญาและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตที่แนบท้าย เอกสารหมาย จ.3 แต่จำเลยมิได้ชำระให้เสร็จสิ้น ทั้งมิได้นำเงินส่งเข้าบัญชีเพื่อลดยอดหนี้ โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2535 เป็นต้นไป เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีวันที่ 25 มิถุนายน 2540 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน