คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7141/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคำพิพากษาได้กำหนดโดยชัดแจ้งแล้วว่าให้จำเลยและพ.ร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่31มกราคม2533จนถึงวันที่1สิงหาคม2533ให้แก่ผู้ร้องแต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนวันที่1สิงหาคม2533คำนวณไม่เกินจำนวน216,260.53บาทซึ่งย่อมหมายความว่าเฉพาะดอกเบี้ยก่อนวันที่1สิงหาคม2533ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ระหว่างวันที่31มกราคม2533จนถึงวันที่1สิงหาคม2533เท่านั้นและการคิดคำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดห้ามมิให้เกินจำนวน216,260.53บาทมิได้หมายความรวมไปถึงดอกเบี้ยส่วนอื่นก่อนวันที่1สิงหาคม2533ซึ่งเป็นส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดด้วย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดี และได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 112853 เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินซึ่งมีชื่อของจำเลยและนางพัชร เพ็ญศรีถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินดังกล่าวจากจำเลยและนางพัชร เพ็ญศรี และเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8001/2534 ของศาลชั้นต้นซึ่งมียอดหนี้คิดถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2534 เป็นเงินจำนวน645,4458.599 บาท ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่จะได้รับจากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นทั้งหมดในฐานะที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในมูลหนี้จำนอง หากโจทก์ถอนการยึดหรือสละสิทธิหรือเพิกเฉยในการบังคับคดี ผู้ร้องขอสวมสิทธิในการบังคับคดีแทนต่อไป
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยได้ติดต่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระ จำเลยพร้อมที่จะนำเงินตามคำพิพากษาวางชำระแก่โจทก์ต่อกรมบังคับคดี แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งขายทรัพย์จำนองของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น แต่ทั้งนี้ไม่ให้เกินจำนวนเงิน477,062.22 บาท (คิดถึงวันที่ 27 มกราคม 2535) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากต้นเงิน 347,769.87 บาท(ที่ถูกเป็น 347,764.87 บาท) นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2535เป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับชำระหนี้
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องชอบที่จะได้รับชำระหนี้จำนองในคดีนี้จำนวนเท่าใดผู้ร้องฎีกาว่า ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ว่าดอกเบี้ยก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2533 คำนวณแล้วไม่เกิน 216,260.53 บาทซึ่งตรงกับที่ผู้ร้องบรรยายฟ้องและเบิกความว่า จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยอยู่อีกในวันที่ 31 มกราคม 2533 เป็นเงิน 216,260.53 บาทและนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2533 ถึงวันฟ้องคดีดังกล่าว วันที่1 สิงหาคม 2533 จำเลยยังคงค้างดอกเบี้ยผู้ร้องอีก 28,140 บาทการที่ศาลอุทธรณ์ตีความว่าดอกเบี้ยก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2533คำนวณไม่เกินจำนวน 216,260.53 บาท หมายความว่าดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2533 จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2533 จึงยังคลาดเคลื่อนอยู่ จำเลยต้องรับผิดต่อผู้ร้องเพิ่มขึ้นอีก 189,112.54บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาผู้ร้องที่อ้างว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีกนั้นเป็นจำนวนดอกเบี้ยนอกเหนือไปจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ถึงที่สุดไปแล้ว ซึ่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยเพียงเท่าที่ปรากฎในคำพิพากษาเท่านั้น เมื่อคำพิพากษาดังกล่าวได้กำหนดโดยชัดแจ้งแล้วว่า ให้จำเลยและนางพัชรร่วมกันชำระเงินต้นจำนวน347,764.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่31 มกราคม 2533 จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2533 ให้แก่ผู้ร้อง แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2533 คำนวณไม่เกินจำนวน216,260.53 บาท ซึ่งย่อมหมายความว่าเฉพาะดอกเบี้ยก่อนวันที่1 สิงหาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2533 จนถึงวันที่1 สิงหาคม 2533 เท่านั้น และการคิดคำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวของเงินต้นจำนวน 347,768.87 บาท ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดห้ามมิให้เกินจำนวน 216,260.53 บาท มิได้หมายความรวมไปถึงดอกเบี้ยส่วนอื่นก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2533 ที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยยังค้างชำระอยู่อีกตามที่ผู้ร้องฎีกาไม่ เพราะเป็นส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดด้วย
พิพากษายืน

Share