คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7126/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้ให้การตอนต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำนองที่ดินเฉพาะส่วนแก่โจทก์จริงตามฟ้อง แต่ได้ให้การต่อสู้ตอนหลังในเรื่องจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด รวมทั้งเรื่องความไม่สุจริตของตัวแทนโจทก์ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจะฟังตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินและจำนองที่ดินเป็นประกันจริงตามฟ้องหาได้ไม่ และเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดแต่เพียงประเด็นโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างเดียว เป็นการไม่ชอบเพราะคดีมีประเด็นที่จะพิจารณาต่อไปในเรื่องสัญญากู้ยืมเงินสมบูรณ์หรือไม่ และที่โจทก์ให้จำเลยที่ 2ถอนเงินฝากที่ค้ำประกันเงินกู้คืนไปนั้นจำเลยที่ 1 ยังต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่อีก ทั้งจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำนองที่ดินกับโจทก์เพราะถูกโจทก์กับจำเลยที่ 2 ใช้กลฉ้อฉลอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจะต้องรับผิดชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์มากน้อยเพียงใด และให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ววินิจฉัยใหม่ตามรูปคดี
กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้แก่ผู้อุทธรณ์ฎีกาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 3,565,712.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,415,933.88 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้จนครบ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญายังไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ยอมคืนหลักประกันให้จำเลยที่ 2 ไปเป็นจำนวนเงิน 850,000 บาท ถือว่าเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์จึงต้องหักเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไปออกจากหนี้ตามฟ้องเสียก่อน โจทก์คิดดอกเบี้ยขัดต่อกฎหมายทั้งไม่เคยแจ้งการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ทราบและโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นโดยไม่มีสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1กับโจทก์เป็นเงิน 850,000 บาท โดยทำหนังสือสัญญายินยอมการหักบัญชีเงินฝากประจำจำนวน 850,000 บาท มอบไว้แก่โจทก์ต่อมาโจทก์ให้จำเลยที่ 2 ถอนเงินฝากประจำคืนไปและโจทก์คืนสมุดเงินฝากประจำให้จำเลยที่ 2 หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงระงับแล้ว โจทก์สามารถบังคับจำนองชำระหนี้ได้ครบ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 3,565,712.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,415,933.88 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 4128, 6730 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดเอาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้จนครบถ้วน

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไว้เพียงว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยกับจำเลยที่ 1 ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นการถูกต้องแล้วหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำแถลงก่อนชี้สองสถานว่าประเด็นข้อพิพาทมีดังนี้ (1) โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่และร่วมกับจำเลยที่ 2 ฉ้อฉลจำเลยที่ 1 หรือไม่ (2) จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใดและ (3) ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามคำแถลงของจำเลยที่ 1 ในข้อ 3 ประการเดียวนั้นเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ได้ให้การตอนต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำนองที่ดินเฉพาะส่วนแก่โจทก์จริงตามฟ้อง แต่ได้ให้การต่อสู้ตอนหลังว่าทำสัญญาทั้งสองฉบับขึ้นเนื่องจากโจทก์สาขาสี่แยกวิสุทธิกษัตริย์โดยนางศรีพงษ์ คำเรืองผู้จัดการกับนายบรรพต รณเกียรติเมธา ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อของโจทก์สาขาดังกล่าวซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์สมคบกับจำเลยที่ 2 และบริษัทเดอะสวีททามารินปาร์ค จำกัด หลอกลวงฉ้อฉลจำเลยที่ 1 ให้หลงเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้สนับสนุนโครงการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 และบริษัทเดอะสวีททามารินปาร์ค จำกัด โดยที่ดินที่แบ่งขายมีสวนมะขามหวาน สโมสร ทะเลสาบ ระบบส่งน้ำ ถนนท่อระบายน้ำ และสาธารณูปโภคอื่น ทำให้จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินในราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในท้องตลาดถึง 100 เท่า แล้วตัวแทนของโจทก์ยินยอมปล่อยให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเต็มวงเงินราคาซื้อขายที่ดินในโครงการ แต่ที่ดินไม่ได้พัฒนาตามที่กล่าวอ้างซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญายังไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และการกู้เงินของจำเลยที่ 1 ก็มีจำเลยที่ 2 นำสมุดเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 2475-8 ของธนาคารโจทก์จำนวนเงิน 850,000 บาท ค้ำประกันไว้ แต่ถูกตัวแทนโจทก์สมคบกันคืนหลักประกันให้จำเลยที่ 2 ไปเพื่อให้จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์สูงกว่าราคาที่ดินที่จำนองมาก ถือได้ว่าเป็นความผิดของโจทก์ที่ปล่อยให้หลักประกันหลุดไปโจทก์จึงต้องหักเงินจำนวน850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ออกจากหนี้ที่ฟ้องก่อน จากคำให้การของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังเป็นข้อต่อสู้ในเรื่องจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด รวมทั้งเรื่องความไม่สุจริตของตัวแทนโจทก์ ข้อเท็จจริงจะฟังตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินและจำนองที่ดินเป็นประกันจริงตามฟ้องหาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดแต่เพียงประเด็นโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างเดียวจึงเป็นการไม่ชอบ เพราะคดีมีประเด็นที่จะพิจารณาต่อไปในเรื่องสัญญากู้ยืมเงินสมบูรณ์หรือไม่ และที่โจทก์ให้จำเลยที่ 2 ถอนเงินฝากที่ค้ำประกันเงินกู้คืนไปนั้นจำเลยที่ 1 ยังต้องผูกพันชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1ได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำนองที่ดินกับโจทก์เพราะถูกโจทก์กับจำเลยที่ 2 ใช้กลฉ้อฉลอันเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่และจะต้องรับผิดชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์มากน้อยเพียงใด ซึ่งจำเลยที่ 1มีประเด็นที่จะนำสืบตามข้อกล่าวอ้างของตน จำต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงต่อไปแล้ววินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวด้วย จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ววินิจฉัยใหม่ตามรูปคดี

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลฎีกากำหนดเพิ่มเติมดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาชั้นละ 89,142.50 บาทให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share