คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7115/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์แล้วนัดฟังคำพิพากษา จึงไม่มีวันชี้สองสถานและวันสืบพยาน จำเลยที่ 3 ย่อมจะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 3 เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ได้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินเลขที่ 1/2540 ถึง เลขที่ 8/2540 รวมแปดฉบับ ฉบับละ 200,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,600,000,000 บาท ให้แก่หรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ครบกำหนดใช้เงิน วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 และในวันเดียวกับที่สั่งจ่ายตั๋วแลกเงิน จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทรงตั๋วแลกเงินได้นำตั๋วแลกเงินทั้งแปดฉบับมาทำสัญญาขายลดให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้ว โดยสัญญาว่าหากโจทก์เรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยอมชำระพร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดที่โจทก์ประกาศกำหนดให้เรียกเก็บจากลูกค้าสินเชื่อผิดนัดขณะทำสัญญาเท่ากับร้อยละ 18 ต่อปี มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 2,000,000,000 บาท เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินดังกล่าวได้ จำเลยทั้งห้าจึงต้องร่วมรับผิดในต้นเงินตามตั๋วแลกเงินทั้งแปดฉบับจำนวน 1,600,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดร้อยละ 19 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ 2 ครั้ง คือวันที่ 30 มิถุนายน 2541 จำนวน 25,249,315.07 บาท และวันที่ 8 พฤศจิกายน 2542 จำนวน 21,481,732.08 บาท โจทก์นำมาหักชำระดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2542 จำเลยที่ 1 คงค้างชำระต้นเงิน 1,600,000,000 บาท ดอกเบี้ย 546,277,171.97 บาท รวมเป็นเงิน 2,146,277,171.97 บาท และดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2542 จนถึงวันฟ้องในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นเงินดอกเบี้ย 222,378,082.19 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 2,368,655,254.16 บาท ก่อนฟ้องโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลยทั้งห้า แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,368,655,254.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 1,600,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์โดยมีกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือไม่ไม่ทราบ เนื่องจากเอกสารหนังสือรับรองเป็นเพียงสำเนา จำเลยทั้งห้าไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ไม่เคยสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินตามฟ้องทั้งแปดฉบับ และจำเลยที่ 1 ไม่เคยนำตั๋วแลกเงินทั้งแปดฉบับดังกล่าวขายลดให้แก่โจทก์ กรรมการจำเลยที่ 1 ไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญาขายลดตั๋วเงิน ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและสัญญาขายลดตั๋วเงินเป็นลายมือชื่อและตราประทับปลอม จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่เคยลงชื่อในสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นลายมือชื่อปลอม ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงิน ต้องฟ้องเรียกให้ชำระเงินตามตั๋วแลกเงินภายใน 1 ปี นับแต่ตั๋วแลกเงินถึงกำหนด จำเลยทั้งห้าไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถาม ดอกเบี้ยตามฟ้องเกินกว่าความเป็นจริงและเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกค้าผู้กู้เงินตามสัญญาเงินกู้ของโจทก์ โจทก์จะนำดอกเบี้ยตามประกาศของโจทก์มาใช้บังคับไม่ได้ ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คำร้องไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ให้ยกคำร้องจำเลยทั้งห้า ค่าคำร้องเป็นพับ
ก่อนสืบพยานโจทก์ คู่ความต่างแถลงร่วมกันว่าผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินพิพาทในคดีนี้คือบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2543 โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินพิพาททั้งแปดฉบับซึ่งเป็นมูลหนี้ในคดีนี้ต่อศาลล้มละลายกลางในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2543 รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2544 และวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 ต่อมาวันที่ 29 สิงหาคม 2545 จำเลยทั้งห้าแถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ได้นำตั๋วแลกเงินพิพาททั้งแปดฉบับซึ่งมีบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้สั่งจ่ายมาทำสัญญาขายลดให้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกัน รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2545 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งห้ายอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์แล้ว คดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งห้าต่อไป จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งห้าและนัดฟังคำพิพากษา ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2545
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,368,655,254.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงิน 1,600,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันฟ้องวันที่ 31 กรกฎาคม 2543) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ออกตั๋วแลกเงินพิพาททั้งแปดฉบับตามคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2543 ไปเพียงใด สิทธิที่โจทก์จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งห้าในคดีนี้ให้ลดลงเพียงนั้นกับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 900,000 บาท
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขคำให้การ คำสั่งงดสืบพยานและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4 และที่ 5 แก้ไขคำให้การตามคำร้อง และอนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขคำให้การโดยเพิ่มเติมเฉพาะข้อ 1. 2. 3. ตามคำร้อง ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยาน และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปเฉพาะประเด็นตามคำให้การที่แก้ไขใหม่แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลนอกจากนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้สัญญาว่า จะผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ไม่ชำระหนี้สินเชื่อ โจทก์และบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันอำพรางสินเชื่อโดยใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสินเชื่อแทนบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นตัวแทนเชิด จึงไม่ต้องรับผิดชอบสินเชื่อ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในสินเชื่อรายนี้ หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 5 ต่อปีดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดตกเป็นโมฆะ โจทก์ในฐานะผู้ทรงยังไม่ได้ทำคำบอกกล่าวตามกฎหมายเรียกร้องต่อผู้สั่งจ่ายและผู้รับสลักหลัง รวมถึงจำเลยที่ 3 ภายใน 4 วัน นั้น เป็นการขอแก้ไขคำให้การโดยยกข้อเท็จจริงขึ้นเป็นข้อต่อสู้ใหม่และเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้ออ้างเพื่อหักล้างข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (3) เมื่อปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์แล้วนัดฟังคำพิพากษา จึงไม่มีวันชี้สองสถานและวันสืบพยาน จำเลยที่ 3 ย่อมจะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในวันที่ 26 สิงหาคม 2545 ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยที่ 3 นี้ นอกจากที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขคำให้การได้แล้วจะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ กรณีมีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การได้ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยเพียงบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้จำเลยที่ 3 แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การตามคำร้องลงวันที่ 26 สิงหาคม 2545 ทั้งฉบับ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share