คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7114/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น และอยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกในคดีดังกล่าว ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวซึ่งถึงที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้นนั้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ปรากฏแก่ศาล
จำเลยเพียงให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่จำเลยมิได้ให้การรับด้วยว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบพยานให้ปรากฏเช่นนั้น ส่วนที่ศาลชั้นต้นเคยมีหนังสือเรียกตัวจำเลยซึ่งถูกขังในคดีอื่นมาศาลก็เพื่อการพิจารณาคดีที่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยเท่านั้น กรณีดังกล่าวมิใช่ข้อแสดงว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อเมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง จึงนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 3 มีนาคม 2537 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2540เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันวันใดไม่ปรากฏชัด จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานบัญชีและการเงินมีหน้าที่รับชำระค่าสินค้าจากลูกค้า จัดทำบัญชีรายรับและเก็บเงินค่าสินค้าส่งให้แก่โจทก์ จำเลยได้เบิกเงินจากโจทก์เป็นค่าพาหนะและค่าใช้จ่ายไปทำงานในกิจการของโจทก์และมีเงินคงเหลือแล้วไม่ส่งคืนโจทก์จำนวน 48 ครั้ง เป็นเงิน 24,405 บาท รับเงินค่าสินค้าจากลูกค้าแล้วไม่ได้ส่งเงินค่าสินค้าในแต่ละวันที่มีการขายสินค้าและออกใบเสร็จรับเงินนั้นให้แก่โจทก์จำนวน4 ครั้ง เป็นเงิน 28,160 บาท รับเงินค่าสินค้าจากลูกค้าแล้วไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ลูกค้าและไม่เก็บเงินค่าสินค้าแต่ละวันส่งให้โจทก์จำนวน 12 ครั้ง เป็นเงิน67,350 บาท และเบิกสินค้าขายให้แก่ลูกค้า ได้รับเงินจากลูกค้าแล้วไม่ลงบัญชีขายประจำวันและไม่นำเงินค่าสินค้าส่งให้แก่โจทก์จำนวน 22 ครั้ง เป็นเงิน 59,030 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 178,945 บาท โดยจำเลยเบียดบังเอาเงินที่เบิกจ่ายแล้วมีเงินคงเหลือในแต่ละครั้ง เงินค่าสินค้าที่รับจากลูกค้าดังกล่าวไว้เป็นของตนเองหรือของผู้อื่นโดยทุจริต อนึ่ง จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 352 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ก่อนสืบพยาน โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ความผิดบางกรรมที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอก เฉพาะตามคำฟ้องข้อ 2.1 วันที่ 3 มีนาคม 2537 จำนวนเงิน 500 บาท วันที่ 21 มิถุนายน 2537 จำนวนเงิน 5 บาท วันที่ 30 พฤษภาคม 2539 จำนวนเงิน 3,700 บาท ตามคำฟ้องข้อ 2.3 วันที่ 17 ธันวาคม 2539 จำนวนเงิน400 บาท และที่โจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วตามคำฟ้องข้อ 2.2 วันที่ 1 เมษายน 2538 จำนวนเงิน 9,000 บาท วันที่ 4 กันยายน2538 จำนวนเงิน 3,600 บาท และวันที่ 16 ธันวาคม 2538 จำนวนเงิน 200 บาทศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้จำหน่ายคดีโจทก์ออกเสียจากสารบบความ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 79 กระทง จำคุก 79 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 39 เดือน 15 วัน ให้ยกคำขอนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปรากฏตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์คดีนี้ว่า จำเลยคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น และอยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกในคดีดังกล่าวขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวซึ่งถึงที่สุดแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้นนั้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏ แต่คดีนี้จำเลยเพียงให้การรับสารภาพตามฟ้องเท่านั้น จำเลยมิได้ให้การรับด้วยว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบพยานให้ปรากฏเช่นนั้นส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ก่อนจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นเคยสอบถามจำเลยแล้วจำเลยรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลได้จดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ทั้งได้มีหนังสือเรียกตัวจำเลยมาศาลในคดีนี้ด้วยนั้น ก็ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 23 ธันวาคม 2540 เพียงว่า ทนายความโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าจำเลยถูกขังอยู่ในเรือนจำพิเศษมีนบุรี และในวันดังกล่าวไม่ได้เบิกตัวจำเลยมาศาล จึงขอเลื่อนคดีไปก่อนและทนายความโจทก์แถลงเพิ่มเติมว่า จำเลยถูกขังอยู่ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น ศาลสอบทนายความจำเลย ทนายความจำเลยแถลงว่าจำเลยถูกขังอยู่ในคดีดังกล่าวจริง และในวันดังกล่าวไม่ได้เบิกตัวจำเลยมาศาล ซึ่งตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการสอบถามจำเลยดังที่โจทก์กล่าวอ้างและจำเลยก็ไม่ได้มาศาลในวันนั้นด้วย ส่วนที่ศาลเคยมีหนังสือเรียกตัวจำเลยมาศาลนั้นก็เพื่อการพิจารณาคดีที่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยเท่านั้น กรณีดังกล่าวมิใช่ข้อแสดงว่าจำเลยยอมรับว่า เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2540 ของศาลชั้นต้น และแม้คดีนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลก็สามารถพิพากษาคดีไปได้โดยที่โจทก์ไม่จำต้องนำพยานเข้าสืบก็ตาม แต่หากโจทก์เห็นว่า คดีของโจทก์ยังมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่โจทก์ก็สามารถนำพยานหลักฐานของตนเข้าสืบได้เพื่อให้คดีสมบูรณ์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง จะนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าวหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share