คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก44.356 กรัม ไว้ในครอบครอง ถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ด ขาดจำเลยจะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 15, 66, 67, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วและริบของกลาง
จำเลยรับสารภาพในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครอง แต่ปฏิเสธข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 26, 66, 76 ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 30 ปี จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก22 ปี 6 เดือน ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตจำคุก 4 เดือน และปรับ 600 บาท จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน ปรับ 300 บาทเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 22 ปี8 เดือน ปรับ 300 บาท ไม่ชำะรค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยนับโทษต่อจากโทษจำคุก ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่าผลิต ส่งออก หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย บทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีเฮโรอีน ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนักถึง 44.356 กรัม ไว้ในครอบครองเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยจะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยจึงต้องมีความผิดตามโจทก์ฟ้อง…”
พิพากษายืน.

Share