แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่คู่ความทำสัญญายอมความกันใหม่นอกศาล แปลงหนี้จากสัญญายอมความเดิมที่ทำไว้ต่อศาล แต่ต่างไม่แสดงสัญญายอมใหม่ต่อศาล โจทก์ฟ้องอ้างว่าตามสัญญายอมใหม่จำเลยยอมขยายเวลาให้โจทก์ไถ่นาคืนใน พ.ศ.2492 จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยอมมอบให้นาพิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลย ดังนี้โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ตามข้ออ้าง ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อต่อสู้ของจำเลยเพราะจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง หากโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องโจทก์ต้องแพ้คดี
ย่อยาว
เดิมโจทก์จำเลยเป็นความกันเรื่องขอไถ่ที่นาและได้ทำสัญญายอมความกันว่า โจทก์จะไถ่นาพิพาทจากจำเลยเป็นเงิน 1,900 บาทใน 15 วัน และยอมเสียค่าป่วยการเป็นข้าวให้จำเลย 60 หาบในเดือนมกราคม 2490 แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาจนโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ไถ่ที่นาได้ใน พ.ศ. 2492 เป็นเงิน 3,000 บาท ตามที่โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญายอมกันใหม่นอกศาลฝ่ายจำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทำสัญญายินยอมมอบที่นารายนี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย ๆ ได้ครอบครองมาปีเศษแล้ว ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า
ศาลจังหวัดน่านสั่งให้จำเลยนำสืบก่อนพิจารณาแล้วเห็นว่าคดียังฟังไม่ได้ว่า โจทก์เจตนาสละสิทธิ แต่คดีฟังได้ว่าโจทก์ได้ทำสัญญายกที่พิพาทให้จำเลย จึงเป็นเรื่องจำเลยยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญายอม เป็นผลให้หนี้นั้นระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 321โจทก์หมดสิทธิจะเรียกคืนนาพิพาท พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นมีว่า จำเลยได้ตกลงแปลงหนี้จากสัญญายอมความที่ศาล ขยายเวลาการไถ่ที่นาจริงดังโจทก์กล่าวหรือไม่ถ้าไม่จริงหรือโจทก์นำสืบไม่ได้โจทก์ก็ต้องแพ้ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ได้ตกลงมอบนารายนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย เพราะจำเลยมิได้ฟ้องแย้งให้ศาลพิจารณาและบังคับในข้อนี้
ส่วนข้อเท็จจริงต่างนำพยานบุคคลมาสืบโต้แย้งกันเห็นว่าไม่สมเหตุผลด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย เรียกได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องเห็นพ้องกับศาลล่าง
พิพากษายืน