แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามมาตรา 50,73 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 การได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่นั้น. ไม่ทำให้ผู้นั้นได้สิทธิครอบครองที่ดินอยู่ในเขตประทานบัตรด้วย. แต่เมื่อมีผู้ใดเข้าไปขัดขวางในการทำเหมืองแร่ในเขตประทานบัตรโดยไม่มีอำนาจโดยชอบแล้ว. ผู้ได้รับประทานบัตรก็ย่อมมีอำนาจฟ้องได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต 1 แปลง จำเลยบุกรุกเข้าไปทำรั้วและปลูกโรงเรือน ขอให้ศาลขับไล่ ฯลฯ จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลย ฯลฯ ตามแผนที่กลางหมายเลข 2 เป็นที่ที่โจทก์ฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทภายในวงเส้นสีแดงหมาย 1 และ 3 ด้วย จำเลยให้การเพิ่มเติมว่า ที่พิพาทหมายเลข 3 มารดาจำเลยยกให้ ส่วนที่พิพาทหมาย 1-2 จำเลยซื้อมา ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทหมาย 1, 2, 3 ตามแผนที่กลาง ฯลฯ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 73บัญญัติว่า “ผู้ถือประทานบัตรมีสิทธิในเขตเหมืองแร่เฉพาะแต่…ฯลฯ” (3) ใช้ที่ดินในเขตเหมืองแร่…ฯลฯ แต่ทั้งนี้เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้ว มิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง”และตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 บัญญัติว่า”ถ้าที่ซึ่งขอประทานบัตรเป็นที่อันมิใช่ที่ว่างหรือมีที่อันใดมิใช่ที่ว่างรวมอยู่ในเขต ผู้ยื่นคำขอต้องแสดงหลักฐานให้เป็นที่พอใจของพนักงานเจ้าหน้าที่ว่า ผู้ขอจะมีสิทธิทำเหมืองในเขตที่นั้นได้”ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่นั้นไม่ทำให้ผู้นั้นได้สิทธิครอบครองที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรด้วยแต่เมื่อมีผู้ใดเข้าไปขัดขวางในการทำแร่ในเขตประทานบัตรโดยไม่มีอำนาจโดยชอบแล้ว ผู้ได้รับประทานบัตรก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้นั้นได้คดีนี้แม้ประทานบัตรเดิมจะขาดอายุแล้ว แต่โจทก์ก็ได้ขอต่ออายุก่อนที่อายุประทานบัตรจะครบกำหนด ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น เมื่อจำเลยขัดขวางโจทก์ก็ย่อมฟ้องได้ จากนั้นศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทหมายเลข 1-2 ที่จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ยื่นคำขอต่ออายุประทานบัตรแต่ปี 2502 เพิ่งมาฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2507 นั้นศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยคงจะหมายถึงโจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองภายในกำหนด 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 แต่ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกสิทธิครอบครองคืน จะนำเอาสิทธิฟ้องตามมาตรา 1375 มาปรับแก่คดีไม่ได้อายุความในเรื่องนี้ต้องใช้อายุความทั่วไป และการนับอายุความก็ต้องนับแต่วันที่จำเลยบุกรุกเข้าไปขัดขวาง ไม่ใช่นับแต่วันที่โจทก์ยื่นคำขอต่ออายุประทานบัตร คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่พิพาทหมาย 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2506เท่านั้น คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทหมาย 3 เป็นที่ที่มารดาจำเลยยกให้จำเลย พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องเฉพาะที่พิพาทหมาย 3 ในแผนที่กลาง.