คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7084/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยร่วมกับพวกขับรถจักรยานยนต์แข่งกันประมาณ 400 คัน ด้วยความคึกคะนองและด้วยความเร็วสูง แซงซ้ายแซงขวา โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น นอกจากจะก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนผู้อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับถนนที่จำเลยกับพวกขับรถแข่งกันแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นอีกด้วย ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 20 ปี สมควรมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว ไม่มีเหตุรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
ความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือนร้อนของผู้อื่นและแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยตาม ป.อ. ตาม 90

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 134, 160, 160 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 46 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง กับสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ชั่วคราวของจำเลยและใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยโดยเรียกประกันทัณฑ์บนแก่จำเลย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 134, 160, 160 ทวิ จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังมีกำหนด 1 เดือนแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ในส่วนที่ให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ชอบ เนื่องจากไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง และปัญหาดังกล่าวมิใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยอันเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่า ตามบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ คำพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 20 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2546 ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางตามคำขอท้ายฟ้องแล้ว ส่วนที่ให้ยกคำขออื่นนั้นหมายถึงให้ยกคำขอท้ายฟ้องอื่นนอกจากคำขอให้ริบของกลาง เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ริบของกลาง คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางจึงยุติ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 หยิบยกปัญหาเรื่องริบของกลางขึ้นมาวินิจฉัยและพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางซ้ำอีกครั้ง โดยเห็นว่าศาลชั้นต้นยกคำขอให้ริบของกลางโดยไม่ได้มีคำวินิจฉัยในส่วนนี้เป็นการไม่ถูกต้องนั้นเป็นการพิพากษาโดยผิดหลง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขและกรณีไม่เปลี่ยนแปลงผลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้อนี้ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า การที่จำเลยร่วมกับพวกขับรถจักรยานยนต์แข่งกันประมาณ 400 คัน ด้วยความคึกคะนองและด้วยความเร็วสูง แซงซ้ายแซงขวา โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น นอกจากจะก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนผู้อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับถนนที่จำเลยกับพวกขับรถแข่งกันแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นอีกด้วย ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 20 ปี สมควรมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือนร้อนของผู้อื่น และแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้ปรับบทกฎหมายที่ใช้ลงโทษแก่จำเลยให้ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เฉพาะคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share