คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7073/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู ป. ที่ค้างชำระจำนวน 10,000 บาท และให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท ทุกวันที่ 30 ของเดือน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้บังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยมีภาระหนี้สินมากและมีภาระต้องเลี้ยงดูบิดาและครอบครัว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2559 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอลดเงิน ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดู ต่อมาจำเลยขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ยื่นภายในวันที่ 17 มิถุนายน 2559 จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 จึงถือได้ว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด ส่วนคำร้องของจำเลยที่ขอลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้น จำเลยอ้างว่า จำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรซึ่งเกิดจากโจทก์และบุตรกับภริยาคนใหม่ ทั้งจำเลยยังกู้ยืมเงินจากธนาคาร ก. จำนวน 1,500,000 บาท พฤติการณ์รายได้หรือฐานะของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นภายหลัง แม้หนี้เงินกู้ดังกล่าวจำเลยอ้างว่าเพื่อสร้างบ้านให้แก่บิดาที่จังหวัดเชียงรายและต่อเติมตกแต่งบ้านที่จังหวัดสุรินทร์ ทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้ว่ามีภาระต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรให้แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท แต่จำเลยกลับไปสร้างภาระหนี้สินจำนวนมากมายดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจนำมาอ้างเป็นเหตุผลให้กระทบเสียหายต่อค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและค่าใช้จ่ายอื่นแก่โจทก์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. บุตรผู้เยาว์ ที่ค้างชำระจำนวน 10,000 บาท และให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท ทุกวันที่ 30 ของทุกเดือน นับแต่เดือนกรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะกับให้จำเลยร่วมกับโจทก์ชำระค่ารักษาพยาบาลและค่าการศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์คนละครึ่งจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินเดือนของจำเลยรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีเพียงเดือนละ 500 บาท
ในวันนัดพร้อมเพื่อสอบถามและไกล่เกลี่ย โจทก์ไม่ยินยอมลดการบังคับคดี ยืนยันบังคับคดีต่อไป ศาลชั้นต้นเห็นว่า กรณีไม่สามารถสั่งให้ปฏิบัติตามคำร้องของจำเลยได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 4,000 บาท จนถึงเดือนกรกฎาคม 2563 ทุกวันที่ 30 ของทุกเดือน เว้นแต่เดือนกุมภาพันธ์ ให้ชำระในวันสุดท้ายของเดือน นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป หลังจากนั้นให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนหย่าโดยมีบันทึกข้อตกลงว่า จำเลยยอมจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ส่วนค่าการศึกษาและรักษาพยาบาลให้ออกคนละครึ่ง ต่อมาจำเลยผิดสัญญา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้วินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีโดยไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2559 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอลดเงินซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ต่อมาจำเลยขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ยื่นภายในวันที่ 17 มิถุนายน 2559 จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 กรณีจึงเป็นการยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด หาได้ล่วงพ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ดังที่โจทก์อ้างไม่ ส่วนคำร้องของจำเลยที่ขอลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้น ปรากฏว่าในวันที่ศาลชั้นต้นนัดสอบถาม โจทก์ ทนายโจทก์ และจำเลยประสงค์ที่จะเจรจาไกล่เกลี่ย ต่อมามีการไกล่เกลี่ยแต่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ โจทก์ยืนยันขอให้อายัดเงินเท่าเดิม แต่จำเลยขอให้ลดลง ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีไม่สามารถสั่งให้ตามคำร้องของจำเลยและให้ยกคำร้อง เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะสั่งแก้ไขให้ลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ต่อมาเมื่อจำเลยอุทธรณ์ โจทก์แก้อุทธรณ์ว่า จำเลยมีรายได้เพียงพอ ส่วนการที่จำเลยกู้ยืมเงิน 1,500,000 บาท เป็นการก่อหนี้หลังจากที่รู้อยู่แล้วว่าต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรให้แก่โจทก์จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ทั้งนี้โจทก์หาได้แก้อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีหนี้กู้ยืมเงินตามที่อ้างไม่ เช่นนี้ จึงมีข้อเท็จจริงที่เพียงพอในการวินิจฉัยแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรซึ่งเกิดจากโจทก์และบุตรกับภริยาคนใหม่ รายได้และฐานะของจำเลยอยู่อย่างลำบากข้นแค้นลง ทั้งเพื่อให้จำเลยสามารถจะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์ได้โดยไม่เป็นภัยแก่ตนเองตามสมควรแก่ฐานะ จึงได้ปรับลดกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเสียใหม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับอุทธรณ์และวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปว่า มีเหตุสมควรลดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือไม่ เพียงใด ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 1,500,000 บาท ถูกหักเงินเดือนชำระหนี้เดือนละ 13,300 บาท เงินเดือนคงเหลือ 5,227 บาท จำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรซึ่งเกิดจากภริยาคนใหม่ด้วย เห็นว่า พฤติการณ์รายได้หรือฐานะของจำเลยได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่หนี้เงินกู้ดังกล่าว จำเลยอ้างว่าเพื่อสร้างบ้านให้แก่บิดาที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และต่อเติมตกแต่งบ้านที่จังหวัดสุรินทร์ ทั้ง ๆ ที่จำเลยก็รู้อยู่ว่ามีภาระต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรให้แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท รวมทั้งค่าการศึกษาและค่ารักษาพยาบาล แต่จำเลยกลับไปสร้างภาระหนี้สินจำนวนมากมายดังกล่าว กรณีจึงหาอาจนำมาอ้างเป็นเหตุผลให้กระทบเสียหายต่อค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและค่าใช้จ่ายอื่นแก่โจทก์ไม่ จึงไม่สมควรสั่งแก้ไขลดค่าอุปการะเลี้ยงดู ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกคำร้อง แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาซึ่งได้รับยกเว้นแก่โจทก์ 200 บาท

Share