คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7064/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีนี้ถึงที่สุดตามคำสั่งศาลฎีกาที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกาแล้วก็ตาม แต่ในชั้นบังคับคดีจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลย อันเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ย่อมมีผลให้คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 และเป็นคดีกรณีที่จำต้องจัดหาบุคคลผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะเพื่อให้มีคู่ความอยู่โดยครบถ้วนก่อนที่จะส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยให้แก่โจทก์และดำเนินคดีต่อไป การพิจารณาและมีคำสั่งให้บุคคลใดเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะในคดีซึ่งอยู่ในระหว่างอุทธรณ์เช่นนี้ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ใช่อำนาจของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ที่ว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจที่จะพิจารณาให้คืนคำร้องแก่ศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไป จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกาประกอบกับจำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะซึ่งมิใช่เป็นคำสั่งไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีและอยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะสั่งได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นแม้จะเป็นการผิดระเบียบแต่ในชั้นนี้มีประเด็นเพียงเรื่องการจัดหาบุคคลผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนคู่ความมรณะเพื่อให้คดีสามารถดำเนินการไปได้โดยมีคู่ความครบถ้วน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ย่อมไม่เป็นที่เสียหายแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลฎีกาไม่จำต้องเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียนนั้นหรือสั่งแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 2,250,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 7366 ตำบลวังตะกอ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนกว่าจะครบ กับค่าฤชาธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลา 5 ปี ดอกเบี้ยไม่เกิน 2,250,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
วันที่ 7 พฤษภาคม 2556 จำเลยยื่นคำร้องเกี่ยวกับทายาทโจทก์ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ในวันนัดไต่สวนศาลชั้นต้นสอบถามทายาทของโจทก์แล้วเชื่อว่าโจทก์ถึงแก่ความตายจริง ทายาทโจทก์แถลงให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรโจทก์และเป็นผู้จัดการมรดกโจทก์ตามคำสั่งศาลขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์เพื่อดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
วันที่ 8 สิงหาคม 2556 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ
จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 เพื่อมีคำสั่งคำร้องฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ว่า ศาลฎีกาได้มีคำสั่ง คดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่จะพิจารณาและสั่งคำร้องของผู้ร้อง ให้คืนคำร้องแก่ศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไป ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 8
ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้วมีคำสั่งตามคำร้องของผู้ร้อง ฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะในชั้นบังคับคดี แม้ล่วงพ้นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 แต่คำร้องของผู้ร้องเข้าใจได้ว่าผู้ร้องประสงค์เข้ามาเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ เมื่อผู้ร้องเป็นบุตรและเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ จึงมีเหตุสมควรให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ได้ แม้ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ในชั้นพิจารณาก็ไม่เป็นการเสียสิทธิในมรดก อนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ได้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะนั้น เห็นว่า แม้คดีนี้ถึงที่สุดตามคำสั่งศาลฎีกาที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกาแล้วก็ตาม แต่ในชั้นบังคับคดีจำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2556 ขอให้ศาลเพิกถอนประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลย อันเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีซึ่งจำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลก่อนที่การบังคับคดีจะได้ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ย่อมมีผลให้คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 และเป็นคดีกรณีที่จำต้องจัดหาบุคคลผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะเพื่อให้มีคู่ความอยู่โดยครบถ้วนก่อนที่จะส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยให้แก่โจทก์และดำเนินคดีต่อไป การพิจารณาและมีคำสั่งให้บุคคลใดเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะในคดีซึ่งอยู่ในระหว่างอุทธรณ์เช่นนี้ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ใช่อำนาจของศาลชั้นต้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะตามหมายเรียกของศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเกินหนึ่งปีนับแต่โจทก์ถึงแก่ความตายได้ คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่ว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่จะพิจารณาและสั่งคำร้องของผู้ร้อง ให้คืนคำร้องแก่ศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไป จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดี อันเป็นการพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกาประกอบกับจำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะซึ่งมิใช่เป็นคำสั่งไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีและอยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะสั่งได้ ซึ่งข้อเท็จจริงก็ได้ความตามที่จำเลยมิได้คัดค้านเป็นอย่างอื่นว่า ผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ซึ่งมรณะและเป็นผู้จัดการมรดกโจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2553 จริง คำสั่งของศาลชั้นต้นแม้จะเป็นการผิดระเบียบแต่ในชั้นนี้มีประเด็นเพียงเรื่องการจัดหาบุคคลผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนคู่ความผู้มรณะเพื่อให้คดีสามารถดำเนินการไปได้โดยมีคู่ความครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ย่อมไม่เป็นที่เสียหายแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลฎีกาไม่จำต้องเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียนนั้นหรือสั่งแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออ้างในฎีกาของจำเลยอีกต่อไปเพราะไม่เป็นสาระแก่คดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share