คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7035/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุลักทรัพย์เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เวลากลางวัน จำเลยถูกจับวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 และเหตุรับของโจรเกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เวลากลางวันถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 ส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุลักทรัพย์เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 จำเลยถูกจับวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 เวลากลางวัน และเหตุรับของโจร เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2544 วันเวลากระทำความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ทั้งในความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรต่างกัน โจทก์จะฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกันหรือจะแยกฟ้องเป็นคนละคดีก็ได้ เมื่อโจทก์แยกฟ้องจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้คนละคดีเป็นรายกระทงความผิด และจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในชั้นพิจารณาของแต่ละคดี จึงเป็นการรับสารภาพว่ากระทำความผิดฐานรับของโจรในแต่ละคดี ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระคนละกระทงความผิดกัน แม้ว่าจำเลยจะถูกจับในวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 วันเดียวกัน และเจ้าพนักงานตรวจยึดทรัพย์ของผู้เสียหายได้จากจำเลยในคราวเดียวกัน แต่วันดังกล่าวเป็นวันที่จำเลยถูกจับมิใช่วันกระทำความผิด และทรัพย์ที่ยึดได้ก็เป็นทรัพย์ของผู้เสียหายคนละคนต่างรายกัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดวันเดียวกัน แม้คดีก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เมื่อการกระทำความผิดต่างกรรมกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335, 357, 92 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 113,300 บาท แก่เจ้าของ เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และนับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ 10095/2544 คดีหมายเลขดำที่ 7341/2544, 8458/2544 และ 8991/2544 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีทั้งหมดที่โจทก์ขอเพิ่มโทษ และนับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 เป็นจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์และคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ยก นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 10095/2544 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อในคดีหมายเลขดำที่ 7341/2544, 8458/2544 และ 8991/2544 ของศาลชั้นต้น นั้น ไม่ปรากฏว่าคดีหมายเลขดำที่ 7341/2544 และ 8458/2544 ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วหรือไม่ ส่วนคดีหมายเลขดำที่ 8891/2544 ได้นำมานับต่อจากคดีนี้แล้ว จึงให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า …ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้เป็นกรรมเดียว กับการกระทำความผิดของจำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 10095/2544 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจร ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน และคดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า คดีดังกล่าวโจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุลักทรัพย์เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เวลากลางวัน จำเลยถูกจับวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 และเหตุรับของโจรเกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 ส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุลักทรัพย์เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 จำเลยถูกจับวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 เวลากลางวัน และเหตุรับของโจรเกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2544 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 จึงเห็นได้ว่าวันเวลากระทำความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ทั้งในความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรต่างกัน โจทก์จะฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกันหรือจะแยกฟ้องเป็นคนละคดีก็ได้ เมื่อโจทก์แยกฟ้องจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้คนละคดีเป็นรายกระทงความผิด และจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในชั้นพิจารณาของแต่ละคดี จึงเป็นการรับสารภาพว่ากระทำความผิดฐานรับของโจรในแต่ละคดี ซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระคนละกระทงความผิดกัน ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกจับในวันที่ 19 พฤษภาคม 2544 วันเดียวกัน และเจ้าพนักงานตำรวจยึดทรัพย์ของผู้เสียหายได้จากจำเลยในคราวเดียวกัน เห็นว่า วันดังกล่าวเป็นวันที่จำเลยถูกจับมิใช่วันกระทำความผิด และทรัพย์ที่ยึดได้ก็เป็นทรัพย์ของผู้เสียหายคนละคนต่างรายการกัน มิใช่ทรัพย์ของผู้เสียหายคนเดียวกัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดวันเดียวกัน ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในชั้นสอบสวน โดยมีเจตนาเดียวคือรับของโจรทั้งหมด มิได้รับของโจรต่างกรรมกันตามที่โจทก์นำมาแยกฟ้องในภายหลัง ก็เป็นเพียงคำให้การรับสารภาพของจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนเท่านั้น มิใช่คำให้การจำเลยชั้นพิจารณาในคดีที่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นคนละคดีกันแล้ว ซึ่งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในแต่ละคดีคนละคราวกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยรับซื้อของโจรทั้งหมดในวันเวลาและสถานที่เดียวกันนั้น เป็นการโต้เถียงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพ และเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบแต่ในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้คดีก่อนศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้กับคดีก่อนเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้
พิพากษายืน.

Share