คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ระหว่างเช่าซื้อรถยนต์ประสบอุบัติเหตุ สามีจำเลยที่ 2 รับรถยนต์ไปซ่อมแซมและครอบครองใช้ประโยชน์ตลอดมา การที่สามีจำเลยที่ 2 ตกลงกับจำเลยที่ 1 รับว่าจะโอนสิทธิหน้าที่และความรับผิดทั้งหมดแทนจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์นั้น เป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับสามีจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้ตกลงทำสัญญาด้วย จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ซึ่งจะต้องทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่อันจะทำให้หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ ไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ผิดนัดไม่ชำระค่างวด สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่สามารถส่งมอบคืนได้ให้ร่วมกันชำระราคา และค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อประสบอุบัติเหตุเมื่อซ่อมแซมเสร็จ สามีจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองและใช้ประโยชน์นับแต่นั้นตลอดมาและรับว่าจะรับโอนสิทธิหน้าที่และความรับผิดทั้งหมดแทนจำเลยที่ 1 กับโจทก์ โจทก์จึงต้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายทั้งหมดจากจำเลยที่ 2 และสามีจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ให้การว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อเกิดอุบัติเหตุหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้มอบภาระหน้าที่ให้สามีของจำเลยที่ 2เป็นผู้ดำเนินการติดต่อกับโจทก์เพื่อรับผิดใช้หนี้สินที่ค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อโดยสามีของจำเลยที่ 2 ตกลงจะเป็นผู้ชดใช้หนี้สินแทน สามีจำเลยที่ 2 ได้รับรถยนต์ไปซ่อมแซมและเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ตลอดมา และได้ติดต่อเพื่อขอรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว คดีมีทางตกลงกันได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่สามารถส่งมอบให้ร่วมกันใช้ราคา 241,680 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายถึงวันฟ้อง 40,300 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 3,100 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยหรือจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระราคารถยนต์ให้โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 201,980 บาท แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำฟ้องและคำให้การรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับบลิวหมายเลขทะเบียน 2 จ-5310 กรุงเทพมหานครจากโจทก์ ต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2527 รถยนต์ที่เช่าซื้อได้ชนกับรถยนต์คันอื่น สามีของจำเลยที่ 2 ได้เอารถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้และครอบครองตลอดมา ต่อมาสามีจำเลยที่ 2 ได้คืนให้แก่โจทก์ และโจทก์ขายผู้อื่นได้ราคา 80,000 บาท ศาลอุทธรณ์จึงให้หักราคารถยนต์ 80,000 บาท ออกจากหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในชั้นฎีกาโจทก์แก้ฎีการับว่าจำเลยทั้งสองจะต้องชำระหนี้ให้โจทก์ 201,980 บาท จำเลยที่ 2 ได้ผ่อนชำระหนี้ให้แล้ว 20,000 บาท จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดในส่วนที่เหลือต่อไป
พิเคราะห์แล้ว ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันหรือไม่เห็นว่าตามข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อเพราะสามีจำเลยที่ 2 ได้รับรถยนต์ไปและตกลงจะไปเช่าซื้อจากโจทก์สามีจำเลยที่ 2 จึงรับภาระหน้าที่ในการจัดการชำระหนี้ตามสัญญาแทนจำเลยที่ 1 ข้ออ้างดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับสามีจำเลยที่ 2 เอง มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับโจทก์ ตามข้ออ้างของจำเลยที่ 1 เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ อาจทำให้หนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ระงับได้ การแปลงหนี้ใหม่จะต้องทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ แต่กรณีที่จำเลยที่ 1 อ้างมานั้น เป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับสามีจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้ตกลงทำสัญญาด้วย ทั้งการเช่าซื้อกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ ถ้าสามีจำเลยที่ 2 จะทำการเช่าซื้อต่อก็ต้องมีสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ เมื่อเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับสามีจำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้ตกลงเป็นคู่สัญญาด้วย จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะทำให้หนี้ตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับ จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เมื่อค้ำประกันจำเลยที่ 1โดยยอมรับผิดร่วม จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน181,980 บาท แก่โจทก์

Share