คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 – 2 โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดว่า ที่ดินและห้องพิพาทเป็นของโจทก์ครอบครองมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 รับซื้อไว้โดยไม่สุจริต เมื่อ โจทก์มิได้จดทะเบียนสิทธิของโจทก์ไว้ตามความใน ป.พ.พ. มาตรา 1299 โจทก์ก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือ จำเลยที่ 2 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิไว้แล้วนั้นได้.

ย่อยาว

เรื่อง ที่ดิน ขอเพิกถอนนิติกรรม แสดงกรรมสิทธิ์และขับไล่
ได้ความว่าที่ดินและห้องแถวรายพิพาทอยู่ในโฉนดที่ ๑๗๒ อันมีชื่อนายอุ่นผู้ซื้อจากนางจันสมกับจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของ แล้วจำเลยที่ ๑ โอนขายเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ ให้แก่จำเลยที่ ๒ ๆ รับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและ จดทะเบียนสิทธิแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ยกฟ้องโจทก์ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์จะฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดว่า ที่ดินและห้องรายพิพาท เป็นของโจทก์ครอบครองมาจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๒ รับซื้อไว้โดยไม่สุจริต เช่นว่า จำเลยที่ ๒ ทราบ อยู่แล้วว่าที่ดินและห้องรายพิพาทเป็นของโจทก์ ๆ อยู่ในฐานะจะจดทะเบียนสิทธิของโจทก์ได้อยู่ก่อนแล้ว จำเลยที่ ๒ ยัง ขืนซื้อไว้ เมื่อโจทก์มิได้จดทะเบียนสิทธิของโจทก์ไว้ตามความใน ป.พ.พ.มาตรา ๑๒๙++ โจทก์ย่อมไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อ ต่อสู้แก่บุคคลภายนอกคือ จำเลยที่ ๒ ผู้รับโอนที่ดินรายพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิไว้ แล้วนั้นได้ คดีของโจทก์ไม่มีทางจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้.

Share