แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 จอดรถบรรทุกพ่วงอยู่ชิดขอบทางด้านซ้ายโดยล้อหน้าอยู่บนไหล่ทาง และมีบางส่วนของตัวรถอยู่บนผิวช่องเดินรถ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 จอดรถบรรทุกพ่วงไว้กลางช่องเดินรถในลักษณะล้ำเข้ามาในช่องเดินรถอย่างมาก โดยไม่ชิดขอบถนนด้านซ้ายนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ทั้งขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่ข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
คดีนี้จำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทด้วยการจอดรถในลักษณะกีดขวางจราจรโดยไม่ให้สัญญาณไฟใด ๆ ให้ผู้อื่นเห็นว่ามีรถจอดอยู่ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถที่จำเลยที่ 1 จอดไว้แล้วจำเลยที่ 1 หลบหนีไป มิใช่จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทหรือขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่ไปแสดงตนและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที แม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ มาตรา 43, 78, 157, 160 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาของศาลชั้นต้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดในคดีนี้ และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏ แต่คดีนี้จำเลยที่ 2 เพียงให้การรับสารภาพตามฟ้องเท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้ให้การรับด้วยว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง และแม้คดีนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลจะสามารถพิพากษาคดีไปได้โดยที่โจทก์ไม่ต้องนำสืบพยานก็ตาม แต่หากโจทก์เห็นว่าคดีของโจทก์ยังมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่ โจทก์ก็สามารถนำพยานหลักฐานของตนเข้าสืบได้เพื่อให้คดีสมบูรณ์ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง จะนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวหาได้ไม่ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42, 64 และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1097/2545 และ 1326/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (ที่ถูก 43 (4)), 157 พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42, 64 สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหมายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ฐานขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินแล้วไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำคุก 4 เดือน สำหรับจำเลยที่ 2 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานขับรถไม่มีใบอนุญาต ปรับ 600 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี และปรับ 600 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 2 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 300 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1097/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี ความผิดฐานขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินแล้วไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 2 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในทำนองว่า จำเลยที่ 1 จอดรถบรรทุกพ่วงอยู่ชิดขอบทางด้านซ้ายโดยล้อหน้าอยู่บนไหล่ทาง และมีบางส่วนของตัวรถอยู่บนผิวช่องเดินรถ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 จอดรถบรรทุกพ่วงไว้กลางช่องเดินรถในลักษณะล้ำเข้ามาในช่องเดินรถอย่างมากโดยไม่ชิดขอบถนนด้านซ้ายนั้นเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ทั้งขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 จอดรถบรรทุกพ่วงซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่ไว้กลางช่องเดินรถในลักษณะล้ำเข้ามาในช่องเดินรถอย่างมากโดยไม่ชิดขอบถนนด้านซ้ายและไม่ให้สัญญาณไฟใด ๆ ให้รถอื่นทราบได้ว่ามีรถจอด เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ซึ่งขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงชนท้ายรถบรรทุกพ่วงที่จำเลยที่ 1 จอดไว้อย่างแรงรถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย ผู้โดยสารซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต็ที่จำเลยที่ 2 ขับ ถึงแก่ความตาย 1 คน และได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจอีก 1 คน แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 จอดรถไว้ด้วยความประมาทขาดสำนึกและขาดความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้ถนนรายอื่น จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลอื่น ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ญาติผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บคงมีแต่บริษัทประกันภัยเท่านั้น ที่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ญาติผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 2 ใช้ดุลยพินิจลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายในสถานเบาเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 มากแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้จำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทด้วยการจอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจรโดยไม่ให้สัญญาณไฟใด ๆ ให้ผู้อื่นเห็นว่ามีรถจอดอยู่ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถที่จำเลยที่ 1 จอดไว้แล้วจำเลยที่ 1 หลบหนีไป มิใช่จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทหรือขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่ไปแสดงตนและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที แม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติดังกล่าวมาด้วยนั้น จึงเป็นกการไม่ชอบ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
กรณีที่ศาลล่างทั้งสองให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1097/2545 ของศาลชั้นต้นนั้น ปรากฏตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 2 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ต้องโทษจำคุกอาญาหมายเลขแดงที่ 1097/2545 และ 1326/2545 ของศาลชั้นต้น ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีดังกล่าว เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1097/2545 และ 1326/2545 ของศาลชั้นต้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดในคดีนี้ และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏ แต่คดีนี้จำเลยที่ 2 เพียงให้การรับสารภาพตามฟ้องเท่านั้น จำเลยที่ 2 มิได้ให้การรับด้วยว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง และแม้คดีนี้เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพศาลจะสามารถพิพากษาคดีไปได้โดยที่โจทก์ไม่ต้องนำสืบพยานก็ตาม แต่หากโจทก์เห็นว่าคดีของโจทก์ยังมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่โจทก์ก็สามารถนำพยานหลักฐานของตนเข้าสืบได้ เพื่อให้คดีสมบูรณ์เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานข้อเท็จจริงจึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างมาในฟ้อง จะนับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวหาได้ไม่ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทและไม่ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 78, 157, 160 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และไม่นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1097/2545 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2