คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโจทก์มีสิทธิครอบครองไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เพราะเป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และโดยที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินแม้โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก็ไม่ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น ผู้ครอบครอง ที่ดินตั้ง อยู่ ที่ บ้าน หนองสะโน หมู่ ที่ 7 ตำบล ท่าช้าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ ประมาณ 15 ไร่ มี อาณาเขตติดต่อ ตาม แผนที่ สังเขป ท้ายฟ้อง ที่ดิน แปลง ดังกล่าว โจทก์ รับมรดกมาจาก บิดา มารดา และ ครอบครอง สืบ สิทธิ ติดต่อ กัน มา เป็น เวลา ประมาณ60 ปี แล้ว โดย โจทก์ ได้ เข้า ครอบครอง ทำประโยชน์ ใน ที่ดิน แปลง ดังกล่าวตั้งแต่ ปี 2508 ต่อมา ทางราชการ ได้ ออก ใบ ภ.บ.ท. 5 สำหรับ ที่ดินที่ จะ ต้อง เสีย ภาษีบำรุงท้องที่ ให้ แก่ โจทก์ ไว้ เป็น หลักฐาน และโจทก์ ได้เสีย ภาษีบำรุงท้องที่ ให้ แก่ ทางราชการ ตลอดมา ต่อมา อำเภอ วารินชำราบ ได้ มี ประกาศ ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 ให้ ประชาชน ที่ มี ความ ประสงค์ จะ ขอ จับจอง ที่ดิน เพื่อ ประกอบการ ทำนา หา เลี้ยงชีพใน ที่ดิน บ้าน หนองสะโน ยื่น เรื่องราว ขอ จับจอง ที่ดิน ดังกล่าว ต่อ ทาง สำนักงาน ที่ดิน อำเภอ วารินชำราบ โจทก์ ได้ ไป ยื่น เรื่องราว ขอ จับจอง ที่ดิน ดังกล่าว ต่อ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หลังจาก ที่ เจ้าหน้าที่รังวัด สำนักงาน ที่ดิน ได้ ทำการ รังวัด ที่ดิน ที่ โจทก์ ได้ ขอ จับจองไว้ แล้ว ได้ มี ชาวบ้าน ไป ร้องเรียน ต่อ นายอำเภอ วารินชำราบ เกี่ยวกับ เรื่อง ที่ดิน ที่ โจทก์ ขอ จับจอง ไว้ ต่อมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2534อำเภอ วารินชำราบ ได้ นำ เสา ไม้ มา ปัก ลง ใน ที่ดิน ที่ โจทก์ ได้ ขอ จับจอง ไว้ และ มี ป้าย เขียน ไว้ ว่า “ที่สาธารณประโยชน์ ห้าม บุกรุก ” การกระทำดังกล่าว ของ ทางราชการ อำเภอ วารินชำราบ ทำให้ โจทก์ ได้รับ ความเสียหาย ไม่สามารถ จะ ได้รับ ใบจอง จึง ขอให้ ศาล พิพากษา ว่า ที่ดิน ตาม ฟ้อง เป็นที่ดิน ที่ โจทก์ มีสิทธิ ครอบครอง ไม่ใช่ ที่ดิน สาธารณประโยชน์ ให้ จำเลยรื้อถอน ป้าย ที่ ได้ นำ มา ปัก ลง ไว้ ใน ที่ดิน ที่ โจทก์ มีสิทธิ ครอบครองและ ให้ จำเลย ออก ใบจอง ที่ดิน ดังกล่าว ตาม ฟ้อง ให้ แก่ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า ที่ดิน ตาม ฟ้อง เป็น ส่วน หนึ่ง ของ ที่ดิน สาธารณะที่ ประชาชน หมู่ ที่ 6 และ 7 ตำบล ท่าช้าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี ใช้ ประโยชน์ ร่วมกัน โดย ใช้ เป็น ที่ เผา และ ฝัง ศพ และทางราชการ ได้ ขึ้น ทะเบียน เป็น ที่สาธารณะ ไว้ เป็น หลักฐาน ตั้งแต่ปี 2469 ดังนั้น แม้ โจทก์ จะ บุกรุก เข้า ไป ยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์นาน เท่าใด โจทก์ ก็ ไม่อาจ อ้าง สิทธิ ใน ที่ดิน แปลง ดังกล่าว ได้ ในขณะ เกิดเหตุ จำเลย รับ ราชการ ใน ตำแหน่ง นายอำเภอ วารินชำราบ ซึ่ง เป็น เจ้าพนักงาน ตาม กฎหมาย มีอำนาจ หน้าที่ ที่ จะ ต้อง คอย ตรวจตรารักษา ที่ดิน อันเป็น สาธารณประโยชน์ ของ แผ่นดิน ไม่ให้ ผู้ใด เบียดบังเอาไป เป็น ประโยชน์ ส่วนตัว เมื่อ ปรากฏว่า โจทก์ ได้ นำ เจ้าหน้าที่รังวัด ที่ดิน ไป รังวัด เพื่อ ขอ จับจอง ใน ที่ดิน ดังกล่าว ซึ่ง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และ มี ชาวบ้าน ใน พื้นที่ มา ร้อง คัดค้าน ไว้จำเลย ใน ฐานะ เจ้าพนักงาน มีอำนาจ หน้าที่ ดังกล่าว จึง ได้ นำ ป้าย ไปปัก แสดง ให้ ทราบ ว่า ที่ดิน ตาม ฟ้อง นั้น เป็น ที่สาธารณะ ห้าม มิให้ ผู้ใดบุกรุก อันเป็น การ ปฏิบัติ ราชการ ตาม อำนาจ หน้าที่ และ ระเบียบ แบบ แผนของ ทางราชการ โดยสุจริต และ ไม่มี เจตนา ที่ จะ ก่อ ให้ เกิด ความเสียหายแก่ โจทก์ แต่อย่างใด ดังนั้น การ ที่ โจทก์ ไม่ได้ รับ ใบ จับจอง ที่ดินตาม ฟ้อง จึง ไม่ได้ เกิดจาก การกระทำ ละเมิด ของ จำเลย และ การกระทำ ของจำเลย ก็ มิได้ เป็น การ โต้แย้ง สิทธิ โจทก์ จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง จำเลยขอให้ ศาล พิพากษายก ฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์ และ ยื่น คำร้องขอ อนุญาต ยื่น อุทธรณ์ โดยตรง ต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว เห็นว่า เป็น อุทธรณ์ เฉพาะ ปัญหาข้อกฎหมาย และ จำเลย อุทธรณ์ มิได้ คัดค้าน คำร้อง ดังกล่าว จึง มี คำสั่งอนุญาต ให้ โจทก์ ยื่น อุทธรณ์ โดยตรง ต่อ ศาลฎีกา ได้ ตาม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณา ความ แพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “โจทก์ อุทธรณ์ เฉพาะ ปัญหาข้อกฎหมาย ว่าคดี นี้ ภาระ การ พิสูจน์ ตก แก่ จำเลย เนื่องจาก โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท จำเลย ให้การ ว่า ที่ดินพิพาท เป็น ป่าช้าสาธารณะ เป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดย ที่ ที่ดินพิพาท ไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่ง โจทก์ ครอบครอง ทำประโยชน์ ใน ที่ดินพิพาท ดังนั้นโจทก์ จึง ได้รับ ประโยชน์ จาก ข้อสันนิษฐาน ของ กฎหมาย เป็น คุณ แก่ โจทก์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367, 1369 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(2) เมื่อ จำเลย สืบไม่ได้ ว่า ที่ดินพิพาท เป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ จึง มีสิทธิครอบครอง ใน ที่พิพาท พิเคราะห์ แล้ว คดี นี้ โจทก์ กล่าวอ้าง ว่า โจทก์ครอบครอง ที่ดินพิพาท โจทก์ จึง มีสิทธิ ครอบครอง ขอให้ ศาล สั่ง แสดงว่า ที่ดินพิพาท เป็น ที่ดิน ที่ โจทก์ มีสิทธิ ครอบครอง ไม่ใช่ ที่ดินสาธารณประโยชน์ จำเลย ให้การ ต่อสู้ ว่า ที่ดินพิพาท ไม่ใช่ ที่ดินของ โจทก์ ที่ โจทก์ จะ มีสิทธิ ครอบครอง เพราะ ที่ดินพิพาท เป็น ส่วน หนึ่งของ ที่ดิน สาธารณะ ที่ ประชาชน ใช้ ประโยชน์ ร่วมกัน แม้ โจทก์ จะ เข้า ไปยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์ นาน เท่าใด ก็ ไม่อาจ อ้าง สิทธิ ใน ที่ดินแปลง ดังกล่าว ได้ ศาลฎีกา เห็นว่า ตาม ฟ้อง ของ โจทก์ ที่ อ้างว่า โจทก์มีสิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท และ ขอให้ ศาล สั่ง แสดง ว่า ที่ดินพิพาทเป็น ที่ดิน ที่ โจทก์ มีสิทธิ ครอบครอง ไม่ใช่ ที่ดิน สาธารณประโยชน์คำฟ้อง ของ โจทก์ ดังกล่าว จึง เท่ากับ อ้างว่า โจทก์ มีสิทธิ ครอบครองใน ที่ดินพิพาท หรือ อีก นัย หนึ่ง ที่ดินพิพาท เป็น ของ โจทก์ เมื่อ จำเลยให้การ ต่อสู้ ว่า ที่ดินพิพาท ไม่ใช่ เป็น ที่ดิน ของ โจทก์ ที่ โจทก์ จะมีสิทธิ ครอบครอง เพราะ เป็น ที่ดิน สาธารณะ ที่ ประชาชน ใช้ ประโยชน์ร่วมกัน และ ที่พิพาท เป็น ที่ดิน ไม่มี หนังสือสำคัญ แสดง กรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้น โจทก์ จึง มี หน้าที่ ตาม กฎหมาย ที่ จะ ต้อง นำสืบ ให้ได้ความ ว่า ที่พิพาท เป็น ของ โจทก์ และ โดย ที่ จำเลย เป็น เจ้าพนักงานของรัฐ ที่ มีอำนาจ หน้าที่ ดูแล สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ จะ ปรากฏว่า โจทก์ ได้ ครอบครอง ที่ดินพิพาท อยู่ ก็ ไม่ได้ ประโยชน์ จาก ข้อสันนิษฐานเพราะ โจทก์ จะ ยก เอาการ ครอบครอง ขึ้น ยัน ต่อ รัฐ ได้ ต่อเมื่อ โจทก์ได้ สิทธิ ครอบครอง ใน ที่ดินพิพาท มา โดยชอบ ตาม วิธีการ ที่ กฎหมาย กำหนดและ กฎหมาย บัญญัติ รับรอง คุ้มครอง สิทธิ ครอบครอง นั้น ไว้ ด้วย ที่ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ว่า โจทก์ มี ภาระ การ พิสูจน์ ว่า ที่ดินพิพาท เป็นของ โจทก์ ไม่ใช่ ที่ดิน สาธารณะ จึง ชอบแล้ว อุทธรณ์ ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share