คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล ส่วนจำเลยที่ 1 เคยรับราชการครูในสังกัดของโจทก์ เมื่อระหว่างวันที่ 17 มีนาคม 2529 ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2535 จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้ไปศึกษาต่อภาคฤดูร้อนในหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยาเขตธนบุรีซึ่งเป็นการศึกษาต่อภายในประเทศ โดยมีข้อตกลงว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับเข้าปฏิบัติราชการชดใช้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่ไปศึกษา หากผิดสัญญายินยอมชดใช้เงินทุน เงินเดือน เงินอุดหนุนการศึกษา และหรือเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ได้รับไปทั้งหมดตลอดเวลาที่ไปศึกษา กับเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่า ของจำนวนเงินที่ต้องชดใช้ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้ง หากไม่ชำระภายในกำหนดยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อตามที่ได้รับอนุมัติในแต่ละภาคฤดูร้อนดังนี้ ปีการศึกษา 2528 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 17 มีนาคม 2529 ถึง 20 พฤษภาคม 2529 เรียนทบทวนและสอบระหว่างวันที่ 20 ถึง 31 ตุลาคม 2529 ปีการศึกษา 2529 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 18 มีนาคม 2530 ถึง 20 พฤษภาคม 2530 เรียนทบทวนและสอบระหว่างวันที่ 19 ถึง 28 ตุลาคม 2530 ปีการศึกษา 2530 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 21 มีนาคม 2531 ถึง 20 พฤษภาคม 2531 เรียนทบทวนและสอบระหว่างวันที่ 17 ถึง 22 ตุลาคม 2531 ปีการศึกษา 2531 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 20 มีนาคม 2532 ถึง 17 พฤษภาคม 2532 เรียนทบทวนและสอบระหว่างวันที่ 16 ถึง 25 ตุลาคม 2532 ปีการศึกษา 2532 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2533 ถึง 9 พฤษภาคม 2533 เรียนทบทวนและสอบระหว่างวันที่ 15 ถึง 24 ตุลาคม 2533 ปีการศึกษา 2533 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 18 มีนาคม 2534 ถึง 17 พฤษภาคม 2534 เรียนทบทวนและสอบระหว่างวันที่ 14 ถึง 22 ตุลาคม 2534 ปีการศึกษา 2534 ลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 16 มีนาคม 2535 ถึง 13 พฤษภาคม 2535 รวมเวลาที่ไปศึกษาต่อ 1 ปี 4 เดือน 5 วัน ตลอดเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือน เงิน พ.ช.ค. รวมทั้งสิ้น 80,770.55 บาท และเงินทุน 35,000 บาท นอกจากนั้นเมื่อระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2534 ถึง 31 พฤษภาคม 2535 จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้ไปศึกษาต่อในภาคปกติซึ่งช่วงระยะเวลาดังกล่าวครอบคลุมถึงภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2534 ด้วย โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 สำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับมาปฏิบัติราชการชดใช้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่า ของระยะเวลาที่ไปศึกษาต่อ หากผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้คืนเงินทุน และหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม และหรือเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อ พร้อมกับชำระเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินที่จะต้องชดใช้คืนภายในกำหนด 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์ หากไม่ชำระภายในกำหนดยินยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในการนี้มีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันตามสัญญาศึกษาต่อภาคปกติโดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้เงินและเบี้ยปรับตามสัญญาแทน จำเลยที่ 1 ได้ไปศึกษาต่อตามสัญญาดังกล่าวเป็นเวลา 4 เดือน 15 วัน ตลอดระยะเวลาที่ไปศึกษาต่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือนทั้งสิ้น 30,427.47 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับราชการชดใช้ตามสัญญาเป็นเวลา 9 เดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันเกินกว่า 15 วัน จนเป็นเหตุให้ทางราชการมีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2535 ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่โจทก์ รวมเวลาที่จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติราชการชดใช้ตามสัญญาฉบับแรกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน 10 วัน จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้เงินเดือน เงิน พ.ช.ค. พร้อมเบี้ยปรับ หนึ่งเท่า คิดเป็นเงิน 161,541.10 บาท และเงินทุนที่ต้องชดใช้คืนพร้อมเบี้ยปรับหนึ่งเท่า คิดเป็นเงิน 70,000 บาท รวมเป็นเงิน 231,541.10 บาท และจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาฉบับที่ 2 โดยต้องชดใช้เงินเดือนและเบี้ยปรับอีกสองเท่า คิดเป็นเงิน 91,282.41 บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวภายใน 30 วัน ครบกำหนดตามหนังสือทวงถามในวันที่ 28 มิถุนายน 2539 แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกเฉย จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 449,128.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 322,823.51 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 126,996.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 91,282.41 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์อ้างว่าโจทก์ปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2535 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2542 เกินกว่า 5 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และมิได้มอบอำนาจให้นายสายหยุด ลงลายมือชื่อแทน สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย นอกจากนี้ก่อนที่โจทก์จะมีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติราชการตลอดมากว่า 10 เดือน อันเป็นการปฏิบัติราชการชดใช้แก่ทางราชการครบกำหนดแล้ว โจทก์คำนวณค่าเสียหายโดยกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งการคิดเบี้ยปรับและดอกเบี้ยก็สูงเกินไปและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 68,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน กับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 รับราชการครูอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ซึ่งเป็นวิทยาลัยในสังกัดของโจทก์ และได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้ไปศึกษาต่อภาคฤดูร้อนในหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยาเขตธนบุรี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2528 ถึงปีการศึกษา 2534 เมื่อจำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อตามที่ได้รับอนุมัติในแต่ละภาคเรียนแล้วได้กลับมาปฏิบัติราชการที่วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ต่อมาโจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อในภาคปกติระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2534 ถึง 31 พฤษภาคม 2535 ซึ่งระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อภาคปกติดังกล่าวครอบคลุมภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2534 ด้วย หลังจากได้รับอนุมัติจากโจทก์ให้ไปศึกษาต่อในภาคปกติแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์โดยตกลงว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาในภาคปกติแล้วจำเลยที่ 1 จะกลับมาปฏิบัติราชการชดใช้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่ไปศึกษาต่อ หากผิดสัญญายินยอมชดใช้เงินทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มหรือเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อพร้อมกับเบี้ยปรับสองเท่าของเงินที่จะชดใช้คืนภายในกำหนด 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับแจ้งจากโจทก์ หากไม่ชำระภายในกำหนดยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศภาคปกติเอกสารหมาย ป.จ.6 (ของศาลแพ่ง) โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยินยอมรับผิดชดใช้เงินและเบี้ยปรับแก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาดังกล่าว ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ป.จ.7 (ของศาลแพ่ง) ครั้นครบกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อภาคปกติ จำเลยที่ 1 ไม่กลับไปปฏิบัติราชการตามกำหนดโดยขาดราชการเกินกว่า 15 วัน และกลับไปปฏิบัติราชการเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2535 ต่อมาโจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยจำเลยที่ 1 ระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยจำเลยที่ 1 ยังคงปฏิบัติราชการ และได้รับเงินเดือนตลอดมาโดยได้รับเงินเดือนของเดือนกุมภาพันธ์ 2536 เป็นเดือนสุดท้าย ระหว่างไปศึกษาต่อภาคปกติและภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2534 จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือนทั้งสิ้น 45,732 บาท และได้รับทุนการศึกษาภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2534 เป็นเงิน 5,000 บาท
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 กลับไปปฏิบัติราชการหลังจากจบการศึกษาในแต่ละภาคฤดูร้อนมิใช่เป็นการปฏิบัติราชการชดใช้ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและฝึกอบรมภายในประเทศ พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและฝึกอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ 2534 และจำเลยที่ 1 ถูกปลดออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2535 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติราชการชดใช้แล้วบางส่วน ทั้งการที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับและดอกเบี้ยลงเป็นการขัดกับหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนาของคู่สัญญา เห็นว่า สำหรับการศึกษาภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2528 ซึ่งลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 17 มีนาคม 2529 ถึง 20 พฤษภาคม 2529 ถึงภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2533 ซึ่งลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 18 มีนาคม 2534 ถึง 17 พฤษภาคม 2534 นั้น เป็นช่วงระยะเวลาก่อนที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและฝึกอบรมภายในประเทศ พ.ศ. 2528 กรณีจึงต้องบังคับไปตามระเบียบฉบับปี 2528 ซึ่งตามระเบียบฉบับดังกล่าวได้กำหนดข้อผูกพันข้าราชการที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อในภาคฤดูร้อนไว้ในข้อ 25 ก. ว่า เมื่อกลับมาจากศึกษาแล้วต้องมาปฏิบัติราชการในสถานศึกษาหรือสำนักงานที่ตนปฏิบัติงานอยู่ก่อนเข้ารับการศึกษาหรือตามที่กรมเจ้าสังกัดเห็นสมควรไม่ต่ำกว่าสองเท่าของเวลาที่ไปศึกษา ซึ่งคำว่า เมื่อกลับมาจากศึกษาแล้วตามระเบียบฯ ข้อ 25 ก.ดังกล่าวนี้ย่อมหมายถึงการเสร็จสิ้นการศึกษาในแต่ละภาคฤดูร้อน มิใช่การจบการศึกษาตามหลักสูตรที่ได้ไปศึกษาตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าหลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาในแต่ละภาคฤดูร้อน จำเลยที่ 1 ได้กลับไปปฏิบัติราชการที่วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบตามปกติโดยระยะเวลาที่ปฏิบัติราชการเกินกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่ไปศึกษา จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามข้อผูกพันของข้าราชการที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อภาคฤดูร้อนดังกล่าวข้างต้นครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินรวมทั้งเบี้ยปรับได้อีก ส่วนการศึกษาภาคปกติของปีการศึกษา 2534 ซึ่งลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2534 ถึง 31 พฤษภาคม 2535 และการศึกษาภาคฤดูร้อนของปีการศึกษา 2534 ซึ่งลงทะเบียนเรียนระหว่างวันที่ 16 มีนาคม 2535 ถึง 13 พฤษภาคม 2535 นั้น เป็นช่วงระยะเวลาภายหลังจากที่ระเบียบฉบับที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว กรณีจึงต้องบังคับไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและฝึกอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2534 ซึ่งตามระเบียบฉบับที่แก้ไขใหม่ ข้อ 17 กำหนดไว้ว่า ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาต่อ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว หรือสอบตกต้องออกจากสถานศึกษา หรือต้องหยุดการศึกษาก่อนสำเร็จด้วยประการใด ๆ ก็ตาม ต้องกลับมาปฏิบัติราชการในสถานศึกษาหรือสำนักงานที่ตนปฏิบัติงานอยู่ก่อนเข้ารับการศึกษาเป็นระยะเวลาสองเท่าของเวลาที่ได้ไปศึกษา ถ้าข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาต่อรายใดไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวได้ รวมทั้งผู้ที่ทางราชการเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะให้รับราชการต่อไปจะต้องชดใช้คืนเงินทุนและหรือเงินเดือน รวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่ได้รับไปในระหว่างที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อและเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินที่จะต้องชดใช้คืนแก่กรมเจ้าสังกัดทันที ส่วนข้อ 25 กำหนดไว้ว่า ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาต่อภาคฤดูร้อน เมื่อกลับมาจากศึกษาแล้วต้องมาปฏิบัติราชการในสถานศึกษาหรือสำนักงานที่ตนปฏิบัติงานอยู่ก่อนเข้ารับการศึกษาหรือตามที่กรมเจ้าสังกัดเห็นสมควรไม่ต่ำกว่าสองเท่าของเวลาที่ไปศึกษา ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะต้องชดใช้เงินคืนเท่ากับเงินเดือนที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดในระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้ไปศึกษา รวมทั้งเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินที่จะต้องชดใช้คืนแก่กรมเจ้าสังกัดทันที ซึ่งระเบียบดังกล่าวสอดคล้องกับข้อกำหนดในสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศภาคปกติ ข้อ 6 และ ข้อ 7 เอกสารหมาย ป.จ. 6 (ของศาลแพ่ง) จากระเบียบที่แก้ไขใหม่ข้อ 17 ข้อ 25 และสัญญาดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งต้องออกจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าวิทยาเขตธนบุรีเนื่องจากศึกษาไม่จบตามหลักสูตรที่สถาบันการศึกษาดังกล่าวกำหนดได้กลับไปปฏิบัติราชการในฐานะอาจารย์ของวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2535 โดยได้รับเงินเดือนตลอดมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2536 เป็นเดือนสุดท้าย นั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติราชการชดใช้แล้วบางส่วนตามสัญญา ข้อ 6 ข. ซึ่งจำเลยต้องชดใช้เงินและเบี้ยปรับโดยลดลงตามส่วนของเวลาที่กลับเข้าปฏิบัติราชการ ส่วนการที่โจทก์มีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการอันเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ขาดราชการเกินกว่า 15 วัน อันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2535 นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หามีผลลบล้างการปฏิบัติราชการที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปก่อนหน้าที่โจทก์จะมีคำสั่งปลดจำเลยที่ 1 ออกจากราชการไม่ สำหรับจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้นั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ไปศึกษาต่อภาคปกติเป็นเวลา 136 วัน และภาคฤดูร้อนประจำปีการศึกษา 2534 เป็นเวลา 59 วัน รวมเป็นเวลา 195 วัน จำเลยที่ 1 จึงต้องกลับไปปฏิบัติราชการชดใช้เป็นเวลาสองเท่า คือ 390 วัน แต่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติราชการชดใช้เพียง 252 วัน ยังขาดเวลาปฏิบัติราชการชดใช้อีก 138 วัน จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้คืนเงินเดือนและเงินทุนโดยลดลงตามส่วน เป็นเงินเดือน 16,182.09 บาท และเงินทุน 1,769.23 บาท รวมเป็นเงิน 17,951.32 บาท การที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงิน 68,800 บาท จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดมากกว่าหนี้ที่แท้จริง ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) เมื่อรวมกับเบี้ยปรับหนึ่งเท่าซึ่งถือเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 35,902.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดซึ่งคือวันที่ 30 มิถุนายน 2539 มิใช่วันที่ 28 มิถุนายน 2539 ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ขอคิดเบี้ยปรับสองเท่าของเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้คืน กับดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญานั้น เห็นว่า ทั้งข้อตกลงเรื่องการคิดเบี้ยปรับและการคิดดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศภาคปกติเอกสารหมาย ป.จ. 6 (ของศาลแพ่ง) ล้วนแต่เป็นข้อตกลงที่กำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันเข้าลักษณะของการกำหนดเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลก็มีอำนาจปรับลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับและดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้แก่โจทก์ลงจึงเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ หาใช่เป็นเรื่องการไม่เคารพหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนาของคู่สัญญาตามที่โจทก์ฎีกาไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามีเพียง 366,940 บาท ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 9,173.50 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 35,902.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share