แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 7 วัน ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ทั้งกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็เป็นเวลาที่สมควรแล้วการที่ผู้ร้องไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ซึ่งศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีจากสารบบความได้ ตามมาตรา 132(1)ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ผู้ร้องได้วางเงินค่าธรรมเนียมการนำหมายไว้แล้วก็ตาม แม้หากจะฟังได้ว่าเป็นความจริงก็หาทำให้ผู้ร้องหมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ แม้กรณีจะถือว่าผู้ร้องทิ้งอุทธรณ์ แต่มาตรา 132แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ให้อำนาจศาลที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความไม่ใช่บทบังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเสมอไป เพียงแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุผลอันสมควรและยุติธรรม สำหรับกรณีของผู้ร้องนี้เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาว่า ผู้ร้องได้วางเงินค่าธรรมเนียมการส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์แล้วแต่เกิดเหตุขัดข้องทางฝ่ายเจ้าพนักงานศาลเองที่ไม่ส่งเงินไปให้เจ้าพนักงานเดินหมายเช่นนี้ กรณีจึงไม่สมควรที่จะจำหน่ายคดีของผู้ร้องศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้ร้องจัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกำหนดและดำเนินการต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2536 และพิพากษาให้ล้มละลาย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2538 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนพบว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าหุ้นที่ค้างชำระจากผู้ร้องมูลค่าหุ้นละ 70 บาท จำนวน 35,998 หุ้น จึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินค่าหุ้นที่ค้างจำนวน 2,519,860 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดมาชำระแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธหนี้ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยอ้างว่าได้ชำระค่าหุ้นแก่ลูกหนี้ครบถ้วนแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือลงวันที่ 29 มีนาคม 2538 ยืนยันจำนวนหนี้และให้ผู้ร้องชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระเป็นเงินจำนวน 2,519,860 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2537(วันผิดนัด) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด 14 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ
ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีรายชื่อลูกหนี้ของบริษัทมัลติเพล็กซ์ อาร์.เอ็น.ซี. (ประเทศไทย)จำกัด ลูกหนี้
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายคดีผู้ร้องชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า “รับอุทธรณ์ ให้ผู้อุทธรณ์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด” ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2541 นางสาวยุพาอ่ำสอาด เจ้าหน้าที่ธุรการ 2 รายงานศาลชั้นต้นว่า พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้ว ผู้ร้องหรือผู้แทนผู้ร้องไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่ง ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่ง ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา 7 วันซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ทั้งกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็เป็นเวลาที่สมควรแล้ว การที่ผู้ร้องไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงถือได้ว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ซึ่งศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีจากสารบบความได้ตามมาตรา 132(1) ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ผู้ร้องได้เสียค่านำหมายล่วงหน้าให้แก่นางสาวยุพา อ่ำสอาด เจ้าพนักงานศาลไว้แล้วในวันยื่นอุทธรณ์การที่นางสาวยุพารายงานต่อศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2541 ว่าผู้ร้องไม่มาเสียค่าธรรมเนียมการนำหมายจึงไม่ถูกต้อง ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งให้นางสาวยุพาชี้แจงตามคำร้องของผู้ร้องได้ความตามคำชี้แจงของนางสาวยุพาว่า ผู้ร้องได้วางเงินค่าธรรมเนียมการนำหมายไว้แล้วจริง แต่มีการผิดพลาดของหมายเลขคดี เนื่องจากมีประชาชนมาติดต่อราชการเป็นจำนวนมากเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความดังกล่าวโดยผู้ร้องได้วางเงินค่านำหมายแล้วก็ตาม ก็หาทำให้ผู้ร้องหมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ อย่างไรก็ตามแม้จะถือว่าผู้ร้องทิ้งอุทธรณ์ แต่มาตรา 132 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ให้อำนาจศาลที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความนั้นไม่ใช่บทบังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเสมอไป เพียงแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุผลอันสมควรและยุติธรรม สำหรับกรณีของผู้ร้องนี้เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาว่าผู้ร้องได้วางเงินค่าธรรมเนียมการส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์แล้วแต่เกิดเหตุขัดข้องทางฝ่ายเจ้าพนักงานศาลเองที่ไม่ส่งเงินไปให้เจ้าพนักงานเดินหมายเช่นนี้ กรณีจึงไม่สมควรที่จะจำหน่ายคดีของผู้ร้อง
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ผู้ร้องจัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดและดำเนินการต่อไป