แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอาความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าบุตรสาวของตนถูกฉุดคร่าไป ความจริงไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นเลยดั่งนี้ เป็นผิดตามมาตรา 118 และ 159 ต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 159 ซึ่งเป็นบทที่หนัก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่ามีทหารประมาณ ๒๐ คนกระทำการฉุดคร่าภรรยาและบุตรีของจำเลยไป ขอให้เจ้าพนักงานช่วยหรือติดตาม ความจริงหาได้มีใครฉุดคร่าภริยาและบุตรีของจำเลยไปไม่.
จำเลยให้การรับสารภาพแถลงถึงเหตุที่แจ้งความเท็จว่าภรรยาและบุตรีของจำเลยหนีไปทางโรงทหาร เห็นทหารล้อมอยู่หลายคน ให้บุตรชายไปเรียกก็ไม่ยอมกลับ ที่จำเลยแจ้งความเท็จก็โดยประสงค์ว่าตำรวจคงจะช่วยเหลือให้ภรรยาและบุตรีของจำเลยกลับมาได้.
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๑๘,๑๕๘,๑๕๙ และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉะบับที่ ๓) มาตรา ๓.
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามูลกรณีไม่สู้ร้ายแรงนัก จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๑๘.
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฎในสำนวน การกระทำของจำเลยเป็นผิดมาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๕๙ จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา ๑๕๙ ด้วย ให้วางโทษตามมาตรา ๑๕๙ ซึ่งเป็นบทหนัก.