คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6973/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ความผิดฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพวัตถุออกฤทธิ์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจะเป็นการกระทำความผิดต่างฐานกัน แต่ความมุ่งหมายในการกระทำเป็นอย่างเดียวกัน คำฟ้องได้ความเพียงว่าจำเลยเสพวัตถุออกฤทธิ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถยนต์จึงเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าตามลักษณะและสภาพความผิดการกระทำของจำเลยไม่สามารถอกยกออกจากกันได้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งได้รับอนุญาตขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาตขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 62 ตรี,106 ตรี พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ,157 ทวิ พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 102(3 ตรี),127 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดต่อพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 62 ตรี, 106 ตรี พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522มาตรา 63 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157 ทวิ วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 102 (3 ตรี), 127 ทวิเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์ จำคุก 1 ปีฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์ขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 เดือนรวมจำคุก 1 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 เดือน ให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่จำเลยไว้ 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62 ตรี, 106 ตรีซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 เพียงกระทงเดียว และให้ปรับ 20,000 บาท อีกสถานหนึ่งรวมเป็นจำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า แม้ความผิดฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและเป็นผู้ขับขี่เสพวัตถุออกฤทธิ์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเป็นการกระทำความผิดต่างฐานกัน แต่ความมุ่งหมายในการกระทำเป็นอย่างเดียวกัน และข้อเท็จจริงตามคำฟ้องได้ความเพียงว่าจำเลยได้เสพวัตถุออกฤทธิ์ขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถยนต์จึงเป็นที่เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าตามลักษณะและสภาพความผิดการกระทำของจำเลยไม่สามารถแยกออกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่หลายกรรมต่างกันไม่
ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อต่อไปว่า พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดคดีนี้หากรอการลงโทษไว้จำเลยก็จะไม่เกรงกลัว เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามมิให้มีการกระทำผิดอย่างเด็ดขาดสมควรจะลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ประกอบอาชีพโดยสุจริตเป็นหัวหน้าครอบครัวมีภาระหน้าที่ต้องเลี้ยงดูบุตรซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาเล่าเรียน ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี สมควรรอการลงโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share