คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6968/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายกับจำเลยทำข้อตกลงก่อนอยู่กินร่วมกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสว่าทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกัน ผู้ตายยินยอมยกให้จำเลยทั้งหมด แต่จำเลยต้องกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาเก่าและบุตรทั้งหกที่เกิดจากภรรยาเก่าของผู้ตายด้วย ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลบังคับตามกฎหมาย ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่ผู้ตายอยู่กินกับจำเลยจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว หาได้เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวครึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ทั้งหก หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หรือให้จำเลยยินยอมให้นำชื่อโจทก์ทั้งหกเข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หากไม่สามารถดำเนินการได้ ขอให้นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันระหว่างทายาท และให้จำเลยยอมให้โจทก์ทั้งหกเป็นผู้ร่วมลงทุนในบริษัทแม่สอดพาเจริญ จำกัด หรือชำระเงินจำนวน 25,000 บาท แก่โจทก์ทั้งหก
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 5924 และเลขที่ 12276 ตำบลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11051 และเลขที่ 11056 ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก รวม 4 แปลง พร้อมตึกแถวที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 5924 และเลขที่ 12276 จำนวน 2 ห้อง และ 3 ห้อง ตามลำดับ จำนวนครึ่งหนึ่งเป็นมรดกของนายอุ๋ยหงหรือไม่ ก่อนนายอุ๋ยหงจะอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลย นายอุ๋ยหงได้ปรึกษากับนายสมจิตร นายสาโรจน์ นายแขก นายเอี๊ยะเจ็ง นายอั้งง้วน นายเม้งโอ้ว และนายแป๊ะปานที่ร้านนายแป๊ะปานเกี่ยวกับเรื่องที่นายอุ๋ยหงจะอยู่กินกับจำเลย เหตุที่ขอปรึกษาเพราะกลัวจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง เนื่องจากนายอุ๋ยหงมีภริยาและบุตรมาก่อน ส่วนจำเลยเองก็มีสามีและบุตรมาก่อนแล้วเช่นกัน หลังจากปรึกษากันแล้วได้ข้อสรุปว่า หากนายอุ๋ยหงอยู่กินกับจำเลย นายอุ๋ยหงต้องลาออกจากร้านง่วนเซ็งหยูโดยจำเลยจะเป็น ผู้ส่งเสียบุตรของนายอุ๋ยหงที่เกิดจากภริยาคนเดิมเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนตัวแก่นายอุ๋ยหงเดือนละ 3,000 บาท หากมีรายจ่ายพิเศษของบุตรนายอุ๋ยหงจำเลยก็จะเป็นผู้รับภาระเองทั้งสิ้น เงินรายได้จากการค้าที่เหลือทั้งหมดให้ตกเป็นของจำเลย เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงเรียกจำเลยมาทำความตกลงกัน จำเลยยินยอมตอบรับข้อตกลงดังกล่าว หลังจากนั้นนายอุ๋ยหงและจำเลยได้อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เห็นว่า จำเลย นายสมจิตร นายสาโรจน์ และนายเอี๊ยะเจ็ง เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่านายอุ๋ยหงกับจำเลยมีข้อตกลงดังกล่าว กับมีนายวาณิชย์เบิกความสนับสนุนว่า นายอุ๋ยหงได้เล่าให้พยานฟังว่ามีข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินกับจำเลยเช่นนั้นจริง นายสมจิตร นายสาโรจน์และนายวาณิชย์เป็นบุคคลที่โจทก์ทั้งหกยอมรับว่ามีความสนิทสนมกับนายอุ๋ยหงโดยเฉพาะนายสาโรจน์เป็นรองประธานมูลนิธิแม่สอดสามัคคีการกุศล ส่วนนายวาณิชย์เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์มูลนิธิแม่สอดสามัคคีการกุศล แสดงว่าทั้งนายสาโรจน์และนายวาณิชย์ย่อมเป็นที่รู้จักและเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวแม่สอดเป็นอย่างดี ส่วนนายเอี๊ยะเจ็งเป็นผู้จัดการร้านง่วนเซ็งหยูที่นายอุ๋ยหงเคยไปทำงานที่ร้านดังกล่าวย่อมสนิมสนมและเป็นที่นับถือของนายอุ๋ยหงที่จะให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ได้ คำเบิกความของพยานจำเลยดังกล่าวจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง ประกอบกับโจทก์ทั้งหกก็มิได้เบิกความยืนยันว่าไม่มีข้อตกลงโดยจะเห็นได้จากการตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่านายอุ๋ยหงและจำเลยมีข้อตกลงกันอย่างไรไม่ทราบ กลับได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และนางผกากรองซึ่งเป็นภริยาคนเดิมของนายอุ๋ยหงว่า นายอุ๋ยหงจะให้ใส่ชื่อบุตรของนายอุ๋ยหง แต่จำเลยไม่ยินยอม ซึ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่ามีข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินระหว่างนายอุ๋ยหงกับจำเลยเพราะหากไม่มีข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะปฏิเสธไม่ยินยอมให้บุตรของนายอุ๋ยหงมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินพิพาท นอกจากนี้นายอุดมพยานโจทก์ทั้งหกก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า นายอุ๋ยหงเคยบอกพยานว่ามีข้อตกลงระหว่างนายอุ๋ยหงกับจำเลยก่อนที่คนทั้งสองจะอยู่กินด้วยกันว่าทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่กินด้วยกันนายอุ่ยหงยินยอมยกให้จำเลยทั้งหมด ยกเว้นค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าเล่าเรียนบุตรและค่าใช้จ่ายในครอบครัว เกี่ยวกับข้อตกลงนี้นายอุ๋ยหงเคยเล่าให้นายสมจิตร นายปนิธิ นายสาโรจน์ นายแขก และนายสุกิจทราบด้วย คำเบิกความของนายอุดมจึงเจือสมกับคำเบิกความของพยานจำเลย ยิ่งกว่านั้นข้อเท็จจริงยังได้ความเป็นยุติโดยที่โจทก์ทั้งหกมิได้อุทธรณ์และฎีกาโต้แย้งว่าเดิมนายอุ๋ยหงอยู่กรุงเทพมหานครค้าขายขาดทุน ต้องจดทะเบียนหย่ากับนางผกากรอง จากนั้นได้ไปอยู่ที่อำเภอแม่สอดโดยโจทก์ทั้งหกซึ่งเป็นบุตรคงอยู่กับนางผกากรอง เมื่อนายอุ๋ยหงอยู่กินกับจำเลยก็ยังส่งเสียและให้การอุปการะแก่โจทก์ทั้งหกและนางผกากรอง เมื่อฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวประกอบกับคำเบิกความของพยานจำเลยแล้วยิ่งทำให้คำเบิกความของพยานจำเลยมีน้ำหนักยิ่งขึ้น พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายอุ่ยหงและจำเลยมีข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินต่อกันดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลบังคับตามกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทั้งหกเสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งหกฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาให้แก่โจทก์ทั้งหก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ.

Share