แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์แถลงรับว่าได้รับเงินตามเช็คจำนวน4 ฉบับ ที่พิพาทกันแล้วปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉะนั้น ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ให้แก่โจทก์เพียงใดหรือไม่เท่านั้น ส่วนหนี้ตามเช็คพิพาท 4 ฉบับ ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทต่อไป
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระดอกเบี้ยตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ให้โจทก์ และกำหนดในคำพิพากษาว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ดังนี้ จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงหมายถึงเฉพาะจำนวนดอกเบี้ยที่เป็นข้อพิพาทและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยเท่านั้น เพราะหากศาลชั้นต้นต้องการให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าขึ้นศาลแทนโจทก์ทั้งหมด ก็ไม่จำต้องระบุว่าเฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
เมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าขึ้นศาลในส่วนที่เป็นทุนทรัพย์ตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ที่ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สำนักเพลินจิต รวม 4 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,219,017.32 บาท จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่าเช็คพิพาทตามฟ้องเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองได้นำเงินตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับจำนวน 1,137,711.74 บาท วางต่อศาลชั้นต้นที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์โดยโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว และศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินตามเช็คพิพาทแต่ละฉบับนับแต่วันที่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 81,305.58 บาท กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาและออกคำบังคับแล้ว จำเลยที่ 1 นำเงินจำนวน 206,605.45 บาท มาวางศาลเพื่อชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้วและยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอ้างว่า จำเลยที่ 1 วางเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาไม่ครบถ้วนยังขาดอยู่อีก 26,338.51 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ค่าขึ้นศาล ศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี จำเลยที่ 1 วางเงินชำระหนี้พอแก่การชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ไม่จำต้องออกหมายบังคับคดี ยกคำขอ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า ค่าขึ้นศาลที่จำเลยที่ 1 ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต้องคิดรวมทุนทรัพย์ตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ด้วย การวางเงินของจำเลยที่ 1 ไม่ครบถ้วน ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นโจทก์แถลงรับว่าได้รับเงินตามเช็คจำนวน 4 ฉบับ ที่พิพาทกันแล้วปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 4 เมษายน 2538 ฉะนั้น ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ให้แก่โจทก์ เพียงใดหรือไม่เท่านั้น ส่วนหนี้ตามเช็คพิพาท 4 ฉบับ ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระดอกเบี้ยตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ให้โจทก์ และกำหนดในคำพิพากษาว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงหมายถึงเฉพาะจำนวนดอกเบี้ยที่เป็นข้อพิพาทและศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยเท่านั้น เพราะหากศาลชั้นต้นต้องการให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าขึ้นศาลแทนโจทก์ทั้งหมด ก็ไม่จำต้องระบุว่าเฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี การกำหนดดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าขึ้นศาลในส่วนที่เป็นทุนทรัพย์ตามเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับด้วย การวางเงินของจำเลยที่ 1 จึงครบถ้วนแล้ว
พิพากษายืน