คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6963/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์อ้างสิทธิในการขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ก่อนขายให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103 ทับที่ดินที่โจทก์ครอบครองบางส่วน ต่อมาจำเลยที่ 1 ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2ก็ได้ขอทำการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 2 แปลง โดยแบ่งออกมาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่636/103 อีก 1 ฉบับ ซึ่งก็ยังคงทับที่ดินพิพาทบางส่วนที่โจทก์ครอบครองอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย โดยคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างตอนหนึ่งตอนใดให้เห็นว่า ที่ดินบางส่วนตามคำฟ้องของโจทก์นั้น โจทก์ได้สิทธิครอบครองเนื่องจากโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองจากการยึดถือครอบครองที่ดินที่พิพาทบางส่วนแทนจำเลยที่ 2 มาเป็นแย่งการครอบครองจากจำเลยที่ 2 ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทส่วนหนึ่ง จำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดถือแทน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้เท่ากับโจทก์ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือครอบครองที่ดินแทนจำเลยที่ 2 มาเป็นการยึดถือเพื่อตนอันเป็นการแย่งการครอบครอง จำเลยที่ 2 มิได้ฟ้องเรียกคืนภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างไว้คำฟ้อง ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการมิชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราดเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2515 จำเลยที่ 1ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103ทับที่ดินบางส่วนของโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2515จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2530 จำเลยที่ 2 ได้แบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103 บางส่วนมาเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 636/103ซึ่งก็ยังคงทับที่ดินบางส่วนของโจทก์อยู่ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอนที่ดินส่วนของโจทก์ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103 และเลขที่636/103 และโอนใส่ชื่อโจทก์ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กลับเพิกเฉย เมื่อต้นเดือนกันยายน 2532 จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 และบริวารบุกรุกเข้าไปขุดดินร่อนหาพลอยและปลูกบ้านพักในที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และบริวารหยุดการขุดหาพลอยรื้อบ้านพักพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และบริวารเพิกเฉย ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 103 และเลขที่ 636/103 เฉพาะส่วนที่เป็นของโจทก์ และใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และบริวารรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องรบกวนขัดขวางโต้เถียงสิทธิที่ดินของโจทก์ดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์และขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103 เนื้อที่ประมาณ 41 ไร่ โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 และได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้ให้สามีโจทก์ดูแลเก็บผลประโยชน์ในที่ดินแทน และให้สามีโจทก์และครอบครัวใช้ที่ดินเนื้อที่ 25 ตารางวา เป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่คิดค่าเช่าเมื่อสามีโจทก์ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ก็ยังให้มารดาโจทก์และโจทก์อยู่อาศัยในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 25 ตารางวา ติดต่อกันเรื่อยมา การที่จำเลยที่ 2 ใช้ประโยชน์หรือให้บุคคลอื่นใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองทำประโยชน์และใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 10 ปี โจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน โจทก์เข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103เฉพาะส่วนที่อยู่ในเส้นกรอบสีแดงของแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษานี้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และพิพากษายกฟ้องโจทก์ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 3 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองนั้นเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103 จำเลยที่ 3 ให้โจทก์ยึดถือแทนเป็นเนื้อที่ 25 ตารางวา โจทก์ได้ครอบครองและปลูกสร้างบ้านเรือนเพิ่มเติม ทั้งหวงกันไม่ให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 เข้าไปขุดดินบริเวณข้างบ้านของโจทก์รวมบริเวณที่โจทก์ยึดถือหวงกันไว้เกิน 25 ตารางวา การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้เท่ากับโจทก์ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าวแทนจำเลยที่ 2 มาเป็นการยึดถือเพื่อตนอันเป็นการแย่งการครอบครองจำเลยที่ 2 มิได้ฟ้องเรียกคืนการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์จะเห็นได้ว่า โจทก์อ้างสิทธิในการขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ก่อนขายให้แก่จำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 103 ทับที่ดินที่โจทก์ครอบครองบางส่วน ต่อมาจำเลยที่ 1 ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ก็ได้ขอทำการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 2 แปลงโดยแบ่งออกมาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 636/103 อีก 1 ฉบับ ซึ่งก็ยังคงทับที่ดินพิพาทบางส่วนที่โจทก์ครอบครองอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างตอนหนึ่งตอนใดให้เห็นว่าที่ดินบางส่วนตามคำฟ้องของโจทก์นั้น โจทก์ได้สิทธิครอบครองเนื่องจากโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองจากการยึดถือครอบครองที่ดินที่พิพาทบางส่วนแทนจำเลยที่ 2 มาเป็นแย่งการครอบครองจากจำเลยที่ 2 ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนที่ดินพิพาทตามแผนที่กลางเอกสารหมาย จ.1 บริเวณตัวอักษร ก. ข. ค. ง. จ. ฉ. ที่ฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นของโจทก์โดยได้สิทธิมาจากการแย่งการครอบครองจึงเป็นการมิชอบ
พิพากษายืน

Share