แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ได้เกิดวิวาทกันแล้วทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เมื่อได้ความว่าผู้ใดทำร้ายใครก็ลงโทษจำเลยที่ได้ทำร้างนั้น ได้ (อ้างฎีกาที่ 621/2460,ที่ 593/2484), การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำความผิดโดยสมคบกันทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยได้ทำความผิดโดยต่างเข้าทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้สมคบกันมา ก็ลงโทษได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันทำร้ายร่างกายนายเม่งส้าน นายเอื้อน นายสุยมีบาดเจ็บขอให้ลงโทษ ศาลชั้นต้นฟังว่ามีการวิวาททำร้ายกัน จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๒-๓-๔ ตามมาตรา ๒๕๔ จำเลยที่ ๑-๕-๖ ให้ปล่อยตัวไป
โจทก์จำเลยที่ ๒-๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันทำร้ายร่างกายโจทก์ แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าเป็นกรณีวิวาทก็ต้องยกฟ้องตามมาตรา ๑๙๒ ประมวลวิธีพิจารณาอาญา เพราะคำบรรยายในฟ้องต่างกับข้อเท็จจริงในทางพิจารณา จึงพิพากษาแก้ให้ปล่อยจำเลยที่ ๒-๓ ส่วนจำเลยที่ ๔ แม้จะไม่ได้อุทธรณ์คัดค้าน ก็ต้องปล่อยตัวไปเช่นกันเพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า แม้คดีจะเป็นเรื่องกเกิดวิวาทแล้วทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เมื่อได้ความว่าผู้ใดทำร้ายใครบ้างก็ลงโทษจำเลยที่ได้ทำร้ายนั้นได้ ส่วนในฟ้องที่บรรยายว่าจำเลยสมคบกันทำร้ายผู้เสียหายและทางพิจารณาปรากฏว่า ไม่มีการสมคบจำเลยบางคนได้เข้าไปทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งโดยเกิดวิวาทกันขึ้นเช่นนี้ จะเรียกว่าข้อเท็จจริงที่บรรยายในฟ้องต่างกับในทางพิจารณา + ยกฟ้องตามมาตรา ๑๙๒ ประมวลวิธีพิจารณาอาญาได้หรือไม่นั้น เห็นว่าการที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำความผิดโดยสมคบกันทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งหรือทางพิจารณาปรากฏว่า จำเลยได้ทำความผิดโดยต่างเข้าทำร้ายผู้เสียหายโดยมิได้สมคบกันมานั้น ข้อสำคัญที่จะมีความผิดหรือไม่นั้นก็คือการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อสำคัญอยู่ที่การทำร้าย ฉนั้นจึงยกฟ้องโจทก์ตามมาตรา ๑๙๒ ประมวลวิธีพิจารณาอาญาไม่ได้ ข้อที่ว่ามีการสมคบหรือไม่นั้นไม่สำคัญสำหรับคดีนี้ จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒-๓-๔ ตามมาตรา ๒๕๔ ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น