แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การตอนแรกว่าชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่กลับให้การตอนหลังว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ไม่เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง เนื่องจากการที่ลูกหนี้ปฏิเสธความรับผิดโดยเถียงว่าหนี้ขาดอายุความนั้นหาได้มีข้อจำกัดว่าลูกหนี้จะยกขึ้นต่อสู้ได้เฉพาะในกรณีที่ยังมิได้มีการชำระหนี้เท่านั้นไม่ การที่จำเลยให้การตัดฟ้องโจทก์ในตอนหลังว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่อาจแปลความหมายได้ว่า จำเลยยังมิได้ชำระหนี้ คำให้การของจำเลยจึงมิได้ขัดแย้งกันเอง
จำเลยให้การโดยระบุเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะมีการซื้อขายสินค้ากันเมื่อปี 2537 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อปี 2548 นั้น เป็นการต่อสู้เรื่องอายุความในกรณีผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกเอาค่าสินค้าตามที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ทั้งนี้โดยจำเลยไม่จำต้องอ้างมาตราในกฎหมายมาในคำให้การ เพราะเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องปรับบทกฎหมายเอง คำให้การของจำเลยจึงชัดแจ้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 182,050 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การที่ศาลชั้นต้นยกประเด็นเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบ หรือไม่ เนื่องจากจำเลยให้การตอนแรกว่าได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่กลับให้การตอนหลังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ซึ่งนัยสำคัญว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ จึงเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเองไม่ก่อให้เกิดประเด็นในเรื่องอายุความนั้น เห็นว่า การที่ลูกหนี้ปฏิเสธความรับผิดโดยเถียงว่าหนี้ขาดอายุความ หาได้มีข้อจำกัดว่าลูกหนี้จะยกขึ้นต่อสู้ได้แต่เฉพาะในกรณีที่ยังมิได้มีการชำระหนี้เท่านั้นไม่ การที่จำเลยให้การตัดฟ้องโจทก์ในตอนหลังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่อาจแปลความหมายได้ว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ คำให้การของจำเลยจึงมิได้ขัดแย้งกันเองแต่จำเลยให้การว่าคดีโจทก์ขาดอายุความลอยๆ จึงไม่ชัดแจ้งว่าเป็นการต่อสู้อายุความในกรณีใดและเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดนั้น ดังนั้น แม้จำเลยให้การโดยระบุเพียงวา คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะมีการซื้อขายสินค้ากันเมื่อปี 2537 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อปี 2548 ก็เห็นได้ว่าจำเลยต่อสู้อายุความในกรณีที่ผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบตามที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์นั่นเอง ทั้งนี้ โดยจำเลยไม่จำต้องอ้างมาตราในกฎหมายมาในคำให้การเพราะเป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องปรับบทกฎหมายเอง คำให้การของจำเลยจึงชัดแจ้งและทำให้คดีมีประเด็นในเรื่องอายุความดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นยกอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ขึ้นปรับแก่คดีและวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ จึงชอบแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ