คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6952/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตดุสิตเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2527 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่28 พฤศจิกายน 2515 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินจึงต้องเป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ข้อ 76 คือต้องกำหนดเท่ากับราคาซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ. 2517 ใช้บังคับจะกำหนดตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังที่จำเลยกำหนดให้โจทก์หาได้ไม่ ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44เป็นเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แต่การกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์เป็นกรณีที่ต้องบังคับตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ซึ่งประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 หาได้กล่าวถึงหรือมีการแก้ไขเพิ่มเติมไม่ จึงจะนำประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2527 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตดุสิต เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2527 เพื่อสร้างและขยายทางหลวง โดยให้จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชกฤษฎีกา ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 3176 ถูกเวนคืน อัตราค่าทดแทนที่จำเลยกำหนดให้นั้นไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 8,549,665.71 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปีในต้นเงิน 7,556,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า คณะอนุกรรมการจัดซื้อที่ดินและชดเชยค่ารื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างกับต้นไม้ที่ถูกโค่นล้ม ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 76 ซึ่งเป็นราคาที่สมควรและยุติธรรมแล้วการที่โจทก์กำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21(1) ถึง (5)ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะราคาค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่เวนคืนได้กำหนดไว้ก่อนที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มีผลใช้บังคับการกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์จึงต้องดำเนินการตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 หาใช่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินของจำเลยจึงใช้ได้และชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3170 ตำบลบางซื่อ (บางซ่อน)อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 2 ไร่ 66 ตารางวาจำเลยเป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทยมีนายนิยม นิยมานุสรเป็นอธิบดี เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2527มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตดุสิต เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2527 เพื่อสร้างและขยายทางหลวงให้รับกับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณใกล้เคียงสะพานพระรามหกมีอธิบดีของจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ที่ดินของโจทก์ซึ่งด้านทิศเหนือติดกับถนนวงศ์สว่างและด้านตะวันตกติดถนนพิบูลสงคราม อยู่ในเขตพื้นที่ที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่ 188.9 ตารางวา ต่อมาจำเลยได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินในส่วนที่ถูกเวนคืนให้โจทก์ตารางวาละ 10,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,889,000 บาท และแจ้งให้โจทก์ไปทำบันทึกตกลงราคาค่าทดแทนและทำสัญญารับเงินค่าทดแทนดังกล่าวกับจำเลย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า จำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เหมาะสมและเป็นธรรมแล้วหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตดุสิตเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2527 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 การกำหนดค่าทดแทนที่ดินจึงต้องเป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ซึ่งในข้อ 76 บัญญัติว่า “เงินค่าทดแทนนั้นถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้ว ให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้ (1) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ฯลฯ” ค่าทดแทนสำหรับที่ดินของโจทก์จึงต้องกำหนดเท่ากับราคาซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ. 2527ใช้บังคับ จะกำหนดตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังที่จำเลยกำหนดให้โจทก์หาได้ไม่ แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้ว่าที่ดินของโจทก์มีราคาตามธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดเท่าใดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ. 2527 ใช้บังคับ แต่โจทก์นำสืบว่าตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาด เพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งคณะกรรมการได้กำหนดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับวันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ ได้กำหนดไว้ว่าที่ดินติดถนนพิบูลสงครามราคาตารางวาละ 15,000 บาท และที่ดินติดถนนวงศ์สว่างราคาตารางวาละ 12,000 บาท โจทก์ยังมีนายผาด แสงวงศ์ ซึ่งรับราชการอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีสาขาบางใหญ่ มาเบิกความเป็นพยานโดยตอบทนายจำเลยถามค้านว่าราคาซื้อขายที่ดินกันจริง ๆ สูงกว่าราคาประเมินมาก ปรากฏตามหลักฐานการซื้อขายที่ดินระหว่างธนาคารกรุงเทพ จำกัด กับนางสาวเพชรทัย มนินทร์นิมิตต์ และนางสาวคันสนีย์ แก้วสระคูมีการซื้อขายที่ดินกันเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2531 รวม 2 แปลงมีเนื้อที่ 274 ตารางวา ในราคา 6,576,000 บาท ซึ่งจะเป็นราคาตารางวาละ 24,000 บาท ที่ดินดังกล่าวอยู่ที่ตำบลบางกรวยอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ซึ่งตามบัญชีกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งคณะอนุกรรมประจำจังหวัด จังหวัดนนทบุรี ได้กำหนดไว้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2530 มีราคาสูงสุดตารางวาละ 10,000 บาท จะเห็นได้ว่าราคาที่ดินที่ซื้อขายกันจริงสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการมาก ตามที่นายผาดเบิกความ ที่ดินของโจทก์อยู่บริเวณสี่แยกติดถนนวงศ์สว่างซึ่งตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินฯ กำหนดราคาไว้ตารางวาละ15,000 บาท และ 12,000 บาท ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาถึงเหตุผลที่ว่า ราคาที่ดินที่ซื้อขายกันจริงย่อมสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการมากดังกล่าวมาแล้ว ทั้งการที่ที่ดินของโจทก์อยู่บริเวณสี่แยกซึ่งจะต้องมีราคาสูงกว่าที่ดินที่อยู่ติดถนนทั่ว ๆ ไป การที่จำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์ตารางวาละ 10,000 บาท ยังไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมสำหรับโจทก์ จึงเห็นสมควรกำหนดราคาที่ดินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯพ.ศ. 2527 ใช้บังคับ สำหรับที่ดินของโจทก์ตารางวาละ 22,000 บาท ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ควรได้ค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนตารางวาละ50,000 บาท นั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดตารางวาละ50,000 บาท ดังที่โจทก์อ้าง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 จึงต้องนำมาใช้บังคับในกรณีของโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับดังกล่าว เป็นเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แต่การกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์เป็นกรณีที่ต้องบังคับตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ซึ่งประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 44 หาได้กล่าวถึงหรือมีการแก้ไขเพิ่มเติมไม่ จึงจะนำประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับไม่ได้ ที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่ 188.9 ตารางวา เมื่อคิดราคาตารางวาละ 22,000 บาท จึงเป็นเงินจำนวน 4,155,800 บาทโจทก์ได้รับค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนไปแล้วจำนวน 1,889,000 บาทจึงเหลือเงินที่จำเลยต้องจ่ายให้โจทก์จำนวน 2,266,800 บาทสำหรับดอกเบี้ยของเงินจำนวนดังกล่าวที่โจทก์ฟ้องเรียกมานับแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2531 ในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งเป็นดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำของธนาคารออมสินนั้น ปรากฏว่าในชั้นฎีกาโจทก์ขอมาในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจึงกำหนดให้ตามที่โจทก์ขอมาในชั้นฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,266,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

Share