คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6950/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์จัดอาหารให้กับพนักงานของโจทก์ แยกต่างหากจากการที่ให้บริการลูกค้าของโรงแรม ก็เป็นการให้บริการแก่พนักงานโดยใช้บริการของตนเองอันอยู่ในความหมายของคำว่า “บริการ” ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1(10) ซึ่งโจทก์จะต้องนำมูลค่าของอาหารที่บริการแก่พนักงานมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
แม้โจทก์จะได้รับประโยชน์ในการบริการการทำงานของพนักงานจากการที่ให้พนักงานรับประทานอาหาร แต่ก็มิใช่ประโยชน์ในการบริหารงานของกิจการอันเป็นการประกอบกิจการของโจทก์โดยตรง จะถือเป็นการนำบริการไปใช้ในการบริหารงานของกิจการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำสินค้าไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามมาตรา 77/1(10)(ก)แห่งประมวลรัษฎากรไม่ได้
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 78)เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไขค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79(4) แห่ง ประมวลรัษฎากร ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 แต่กรณีของโจทก์เกิดก่อนหน้าประกาศดังกล่าวจะใช้บังคับ จึงไม่อาจนำประกาศดังกล่าวมาใช้บังคับได้
เมื่อบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ ถ้าโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าศาลมีอำนาจในการพิจารณาได้ว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หาใช่ว่าการงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานจำเลยซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารและไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจศาลงดหรือลดเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากรไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1มีฐานะเป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีหน้าที่ควบคุมและจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรจำเลยที่ 2 เป็นอธิบดีกรมสรรพากร มีอำนาจหน้าที่บริหารงานในกรมจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เป็นกรรมการในคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยให้โจทก์เสียค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อวันที่ 20พฤษภาคม 2541 เจ้าพนักงานตรวจสอบและประเมินภาษีสำนักงานสรรพากรจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.73.1) เลขที่ 11840040/5/100233 ถึง 100238 ไปยังโจทก์สำหรับเดือนสิงหาคม 2540 ถึงเดือนมกราคม 2541 พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งสิ้นจำนวน 659,029.82 บาท โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร ขอให้มีคำสั่งยกเลิกการประเมินและขอให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ แต่ได้พิจารณาลดเบี้ยปรับที่ได้เรียกเก็บแล้ว คงเหลือเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย และแจ้งให้โจทก์นำเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับจำนวน 501,923 บาทไปชำระภายใน30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์เห็นว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงขออุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสืบเนื่องมาจากโจทก์ประกอบกิจการโรงแรมได้จัดให้พนักงานของโรงแรมรับประทานอาหารโดยไม่คิดค่าอาหารหรือค่าตอบแทนวันละ 3 มื้อ และโจทก์ได้นำค่าอาหารพนักงานดังกล่าวไปลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายประเภทอาหารพนักงานในบัญชีของบริษัท แต่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มในจำนวนค่าใช้จ่ายดังกล่าวโดยถือว่าเป็นยอดขายของโจทก์ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะการที่โจทก์จัดให้พนักงานได้รับประทานอาหารโดยไม่คิดค่าตอบแทนนั้นไม่ใช่เป็นการบริการหรือการขายสินค้า คำจำกัดความของ “บริการ” ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1(10) มีความหมายโดยชัดเจนว่าหมายถึงการกระทำอันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่า ซึ่งผลประโยชน์อันมีมูลค่าน่าจะหมายถึงการได้มาในลักษณะที่เป็นเงินหรือรายได้อื่นใดและโดยเฉพาะน่าจะหมายถึงการบริการที่ให้แก่ลูกค้าของโจทก์มากกว่า แต่การที่โจทก์จัดให้มีอาหารสำหรับพนักงานไม่ได้เป็นการหาประโยชน์แต่เป็นการให้ประโยชน์แก่ลูกจ้าง กรณีดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นการบริการ และโจทก์ก็ไม่มีรายได้จากการจัดให้พนักงานได้รับประทานอาหารโดยไม่คิดค่าอาหารตอบแทน การจัดให้พนักงานได้รับประทานอาหารดังกล่าวเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของโรงแรมที่จัดให้เฉพาะแก่พนักงานที่เข้าทำงานในแต่ละวันในระหว่างเวลาทำงานซึ่งหากจะถือว่าเป็นการให้บริการก็เป็นบริการที่ให้เป็นสวัสดิการแก่พนักงานในระหว่างเวลาทำการในแต่ละวัน โดยไม่ใช่เป็นการรับรองหรือเป็นการให้บริการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้รับค่าบริการเป็นการตอบแทนแต่อย่างใดเพราะจากสภาพการดำเนินกิจการของโรงแรมนั้นพนักงานโรงแรมเป็นผู้ให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งการให้บริการต้องเป็นการทำอย่างต่อเนื่องและต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าซึ่งมาใช้บริการ ดังนั้น การที่ให้พนักงานในโรงแรมสามารถรับประทานอาหารฟรีได้ก็เพื่อความสะดวกในการให้บริการที่ต่อเนื่องและทำให้ลดภาระในการตรวจสอบการเข้าออกจากโรงแรมของพนักงานโดยถือเป็นการควบคุมทางด้านความปลอดภัยของโรงแรมด้วย ดังนั้น หากจำเลยที่ 1 จะถือว่าการให้พนักงานได้รับประทานอาหารฟรีในระหว่างการปฏิบัติงานเป็นการให้บริการที่อยู่ในข่ายจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้พนักงานได้รับประทานอาหารฟรีดังกล่าวก็เป็นการนำบริการไปใช้ในการให้บริการการบริหารของกิจการเพื่อประโยชน์และเพื่อใช้ประกอบกิจการของโจทก์โดยตรงและการให้บริการดังกล่าวเป็นสวัสดิการของพนักงานโจทก์มิใช่เป็นการให้บริการเพื่อการรับรอง หรือเพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน จึงมิใช่เป็นการให้บริการหรือการขายสินค้าซึ่งจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามสำเนาประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2534 นอกจากนั้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40 และจากคำวินิจฉัยของกรมสรรพากร ซึ่งถือว่าผลประโยชน์จากการที่พนักงานได้รับประทานอาหารฟรีจากนายจ้างเป็นเงินได้พึงประเมินซึ่งจะต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ ในทางกลับกันก็ต้องถือว่าเป็นรายจ่ายของนายจ้างเพราะโจทก์ในฐานะนายจ้างไม่ได้มีรายรับจากการจัดให้มีบริการดังกล่าวแต่อย่างใดการประเมินของจำเลยจึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ อธิบดีกรมสรรพากรได้ออกประกาศเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 78) ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2541 กำหนดให้มูลค่าของอาหารและเครื่องดื่มที่นายจ้างจัดหาให้กับพนักงานหรือลูกจ้างในระหว่างเวลาปฏิบัติงานตามระเบียบเกี่ยวกับสวัสดิการของพนักงานหรือลูกจ้างนั้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีโดยต้องมีราคาไม่เกินสมควร และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไป การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรก็ตามหากศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็ขอให้มีคำสั่งยกเลิกเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมด เพราะโจทก์ไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีแต่เข้าใจโดยสุจริตว่าไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวขอให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1)เลขที่ 11840040/5/100233 ถึง 100238 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

จำเลยทั้งห้าให้การว่า การที่โจทก์ให้พนักงานและฝ่ายบริหารรับประทานอาหารฟรีโดยไม่เรียกค่าตอบแทน ไม่เข้าลักษณะเป็นการนำบริการไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 25 ธันวาคม2534 การให้รับประทานอาหารฟรีดังกล่าวแม้จะจัดเป็นสวัสดิการแบบหนึ่งแต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งต้องถือว่าเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1(10) แห่งประมวลรัษฎากร และโจทก์มีหน้าที่นำค่าบริการดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งยังปรากฏว่าโจทก์ได้นำภาษีซื้อซึ่งเกิดจากการซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ในการปรุงอาหารไปใช้เป็นภาษีซื้อในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ประเมินราคาอาหารเพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามราคาตลาดในวันที่ความรับผิดเกิดขึ้นตามมาตรา 79/3(1)แห่งประมวลรัษฎากร ตามข้อมูลที่โจทก์ให้ถ้อยคำไว้ โดยกำหนดมูลค่าอาหารพนักงาน 1 คน รับประทานอาหาร 25 บาทต่อมื้อ วันละ 3 มื้อ มาเป็นเกณฑ์การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชอบธรรมแล้ว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ลดเบี้ยปรับลงครึ่งหนึ่ง การดำเนินการของเจ้าพนักงานตั้งอยู่บนกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการเป็นการชอบด้วยประการทั้งปวง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73.1) เลขที่ 11840040/5/100233ถึง 100238 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ สฏ/ฝ.1/2/41/3/42 ถึง 47 ลงวันที่ 11กันยายน 2541 เฉพาะในส่วนเบี้ยปรับ ค่าฤชาธรรมเนียมเห็นสมควรให้เป็นพับคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า ค่าอาหารสำหรับพนักงานของโจทก์อยู่ในบังคับยต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ได้ความจากนายยุคล ภมรมนตรี กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ว่าโจทก์ประกอบกิจการโรงแรมชื่อบ้านตลิ่งงามอยู่ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์จัดให้พนักงานของโจทก์รับประทานอาหารฟรี ก็เพราะว่าจากสภาพธุรกิจการให้บริการของโจทก์ซึ่งประกอบกิจการโรงแรมต้องให้บริการที่ต่อเนื่องการให้พนักงานได้รับประทานอาหารที่โรงแรมจัดไว้ก็เพื่อให้พนักงานกลับมาทำงานให้ทันหลังจากหมดเวลาพักแล้ว ทั้งนี้เพราะโรงแรมเป็นผู้ให้บริการแก่ลูกค้าซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง การจัดให้มีอาหารสำหรับพนักงานเป็นการแยกจัดต่างหากจากการจัดให้ลูกค้า การจัดให้มีอาหารแก่พนักงานก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการบริหารกิจการ อันเป็นการประกอบกิจการของโจทก์โดยตรง มิใช่เป็นการบริการเพื่อการรับรองแต่อย่างใด โจทก์ได้นำรายจ่ายที่โจทก์จ่ายไปเป็นค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารต่าง ๆ สำหรับพนักงานไปลงบัญชีไว้เป็นรายจ่ายประเภทอาหารของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ขายอาหารแก่พนักงาน โจทก์ไม่มีรายรับจากกรณีดังกล่าว ค่าใช้จ่ายที่โจทก์จ่ายเป็นค่าอาหารของพนักงานนั้นจำเลยได้นำมาประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจำเลยอ้างว่าโจทก์นำไปหักเป็นภาษีซื้อ ส่วนจำเลยทั้งห้ามีนางสาวเปรมปรี พสุหิรัญนิกร เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีและนายถาวรขนานเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาอุทธรณ์เป็นพยานเบิกความว่า ในการตรวจภาษีขายเจ้าพนักงานตรวจพบความผิดคือ โจทก์ให้พนักงานรับประทานอาหารโดยไม่คิดมูลค่าซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1(10) ถือว่าเป็นการให้บริการส่วนบุคคลและไม่ใช่การให้สวัสดิการซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของโจทก์โดยตรงและไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับการยกเว้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา 77/1(10)(ก) ดังนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำยอดค่าอาหารดังกล่าวมาเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เห็นว่า ค่าอาหารสำหรับพนักงานของโจทก์จะอยู่ในบังคับที่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 77/1(10) ซึ่งให้ความหมายของคำว่า “บริการ” หมายความว่าการกระทำใด ๆอันอาจหาผลประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้าและให้หมายความรวมถึงการให้บริการของตนเอง ไม่ว่าประการใด ๆ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง

(ก) การใช้บริการหรือการนำสินค้าไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

การที่โจทก์จัดอาหารให้กับพนักงานของโจทก์ แยกต่างหากจากการที่ให้บริการลูกค้าของโรงแรม ก็เป็นการให้บริการแก่พนักงานโดยใช้บริการของตนเอง อันอยู่ในความหมายของคำว่า “บริการ” ดังกล่าว ซึ่งโจทก์จะต้องนำมูลค่าของอาหารที่บริการแก่พนักงานมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จะอ้างว่าการให้พนักงานของโจทก์รับประทานอาหารเป็นประโยชน์ในการบริหารงานของกิจการอันเป็นการประกอบกิจการของโจทก์โดยตรงหาได้ไม่ แม้โจทก์จะได้รับประโยชน์จากการที่ให้พนักงานรับประทานอาหาร แต่การให้พนักงานรับประทานอาหารมิใช่การบริหารงานของกิจการโดยตรงจะถือเป็นการนำบริการไปใช้ในการบริหารงานของกิจการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการนำสินค้าไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรงตามมาตรา 77/1(10)(ก)แห่งประมวลรัษฎากรไม่ได้ ที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดราคาค่าบริการตามราคาตลาดในวันที่ความรับผิดเกิดขึ้น โดยกำหนดมูลค่าอาหารพนักงาน 1 คนรับประทานอาหาร 25 บาทต่อมื้อ วันละ 3 มื้อ ตามที่นายประภาส โตประภัสร์ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ได้ให้การไว้ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 27 และ 28 การประเมินจึงชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับอาหารที่โจทก์จัดให้พนักงานของโจทก์ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 78)เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไขค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79(4) แห่งประมวลรัษฎากร นั้น เห็นว่า ประกาศดังกล่าวใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 แต่กรณีของโจทก์เกิดก่อนหน้าที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับ จึงไม่อาจนำประกาศดังกล่าวมาใช้บังคับได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่า ศาลไม่มีอำนาจงดหรือลดเบี้ยปรับให้โจทก์นั้นเห็นว่า เมื่อบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ ถ้าโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าศาลมีอำนาจในการพิจารณาได้ว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หาใช่ว่าการงดหรือลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานจำเลยซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารและไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจศาลงดหรือลดเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่เพราะหากแปลความว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ห้ามศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ว่าเหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แล้ว การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ดังนี้ การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำวินิจฉัยให้งดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 89 แห่งประมวลรัษฎากร ที่เรียกเก็บจากโจทก์ทั้งหมด เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วยดี จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้งดเงินเพิ่มนั้น เห็นว่า เงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนเป็นอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงไม่อาจงดได้”

พิพากษายืน

Share