แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ต้องการกู้ยืมเงินโจทก์ไปซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ 3 โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้ออย่างแท้จริง เป็นการใส่ชื่อไว้แทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้เปลี่ยนเจตนาเดิมมาผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจ แต่เป็นการจำยอมทำสัญญาไปนั้นเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า ความประสงค์เดิมของจำเลยที่ 1 ต้องการกู้ยืมเงินโจทก์โจทก์ต้องการให้จำเลยที่ 1 โอนรถยนต์มาเป็นของโจทก์ก่อน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเปลี่ยนเจตนาเดิมมายินยอมผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจ สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่นิติกรรมอำพรางเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ราคา94,260 บาท ชำระค่าเช่าซื้อ 30 งวด งวดละ 3,142 บาท หากจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่ง ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดโดยไม่จำต้องบอกกล่าวทั้งนี้มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์เพียง 11 งวดเป็นเงินจำนวน 34,562 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และแจ้งให้จำเลยทั้งสามคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อพร้อมทั้งค่าเสียหายแล้วแต่จำเลยที่ 1 ก็มิได้ส่งคืนขอให้บังคับจำเลยทั้งสามส่งรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 59,698 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคา ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหาย40,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมเช่าซื้อเพื่ออำพรางนิติกรรมกู้ยืมเงิน เพราะการให้กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี เป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดทั้งรถยนต์ที่เช่าซื้อมิได้เป็นของโจทก์ ดังนั้นจึงไม่มีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อได้ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้โจทก์ หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 59,698 บาทให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาทและชำระค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะส่งคืนรถยนต์หรือใช้ราคา ทั้งนี้หากยังไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาให้เรียกค่าเสียหายได้มีกำหนด 6 เดือน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้โจทก์หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 59,698 บาท ให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียให้โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท และชำระค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะส่งคืนรถยนต์หรือใช้ราคาให้แก่โจทก์ ทั้งนี้หากยังไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคา ให้เรียกค่าเสียหายได้มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 1ฎีกาขอให้ยกฟ้องจึงเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ต้องการกู้ยืมเงินโจทก์ไปซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ 3 โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้ออย่างแท้จริง เป็นการใส่ชื่อไว้แทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้เปลี่ยนเจตนาเดิมมาผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจแต่เป็นการจำยอมทำสัญญาไปนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่า ความประสงค์เดิมของจำเลยที่ 1ต้องการกู้ยืมเงินโจทก์ต้องการให้จำเลยที่ 1 โอนรถยนต์มาเป็นของโจทก์ก่อน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเปลี่ยนเจตนาเดิมมายินยอมผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อโดยสมัครใจ สัญญาเช่าซื้อจึงมิใช่นิติกรรมอำพราง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1