คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท และต่างครอบครองเป็นส่วนสัดโดยส่วนของโจทก์ครอบครองเฉพาะบริเวณบ้านที่โจทก์ได้ครอบครองมาแต่เดิมเท่านั้น คำพิพากษาที่ถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อโจทก์ต่อเติมตึกแถวของโจทก์ที่ครอบครองมาแต่เดิม โดยขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยชอบที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 21740 ด้านทิศเหนือเฉพาะบริเวณบ้านซึ่งโจทก์ได้ครอบครองมาแต่เดิมคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ทำการต่อเติมตึกแถวของโจทก์ ซึ่งครอบครองมาแต่เดิมโดยโจทก์ไม่มีสิทธิกระทำได้เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถอยกลับเข้ามาอยู่ภายในเส้นสีเขียวตามแผนที่ที่เจ้าพนักงานรังวัดไว้ภายใน 30 วันมิฉะนั้นจะพิจารณาบังคับโดยวิธีอื่นต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถึงแก่กรรม ศาลฎีกาอนุญาตให้นางวันนา เดชดวงจันทร์ บุตรจำเลย เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือเฉพาะบริเวณบ้านซึ่งโจทก์ได้ครอบครองมาแต่เดิมนั้น หมายความรวมถึงบริเวณรอบๆ บ้านด้วย มิใช่เฉพาะภายในเส้นสีเขียวตามแผนที่ ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้บริเวณรอบบ้านด้วยเพราะสุดหลังคาบ้านก็คือเส้นสีเขียวแล้วทั้งจำเลยไม่เคยเข้ามาครอบครองที่ดินตั้งแต่บ้านโจทก์ไปจนสุดด้านทิศเหนือ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจะใช้คำว่า ด้านทิศเหนืออยู่ด้วยก็ตามแต่ก็มีความหมายเพียงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททางด้านทิศเหนือถึงแนวเขตบริเวณที่โจทก์ได้ครอบครองปลูกบ้านมาแต่เดิมตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่เท่านั้น มิได้หมายความว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททางด้านทิศเหนือเลยไปจนสุดเขตที่ดินพิพาทซึ่งจะทำให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเกือบทั้งแปลง อันเป็นการขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเฉพาะบริเวณบ้านที่โจทก์ได้ครอบครองมาแต่เดิม คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างถอยเข้ามาภายในบริเวณกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่จึงชอบแล้ว
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป เพราะจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งและโจทก์ก็ไม่ได้เป็นลูกหนี้จำเลย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเท่ากับเป็นการรับรองสิทธิของจำเลยโดยจำเลยไม่ได้แสดงสิทธิ นั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 21740 และต่างครอบครองเป็นส่วนสัดโดยส่วนของโจทก์ครอบครองเฉพาะบริเวณบ้านซึ่งโจทก์ได้ครอบครองมาแต่เดิม คำพิพากษาที่ถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 เมื่อโจทก์ต่อเติมตึกแถวของโจทก์ที่ครอบครองมาแต่เดิม โดยขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยชอบที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
พิพากษายืน.

Share