คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 บัญญัติว่า”บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปอาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ……ฯลฯ” ซึ่งหมายความว่าต้องมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้นโดยถือหนี้อันเป็นมูลของคดีนั้นเป็นสารสำคัญ ฉะนั้นในกรณีทำละเมิดต่อโจทก์หลายคนร่วมกันแม้ค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนจะแยกต่างหากจากกันได้ ก็อาจเป็นโจทก์ร่วมกันในคดีเดียวกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นนิติบุคคลเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ๑ จ – ๗๕๓๘ โจทก์ที่ ๒ เป็นพนักงานลูกจ้างของโจทก์ที่ ๑ มีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๒เป็นรัฐวิสาหกิจเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงหมายเลขทะเบียน น.บ. ๐๕๓๔๐ และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ นาฬิกาโจทก์ที่ ๒ ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ที่ ๑ ดังกล่าวรับผู้โดยสารจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดเชียงใหม่ตามถนนพหลโยธิน เมื่อถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๕๔๒ – ๕๔๓ มีจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน.บ. ๐๕๓๔๐ ของจำเลยที่ ๒ ด้วยความเร็วสูง และด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังล้ำเข้ามาในเส้นทางเดินรถยนต์โดยสาร เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ที่ ๑ เสียหายและโจทก์ที่ ๒ ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของจำเลยที่ ๑ฝ่ายเดียว โจทก์ที่ ๑ ต้องเสียค่าซ่อมรถยนต์โดยสารเป็นเงิน ๑๖๙,๙๐๐ บาทค่าขาดประโยชน์ระหว่างที่ซ่อมรถเป็นเวลา ๑๓๗ วัน วันละ ๑,๐๐๐ บาทเป็นเงิน ๑๓๗,๐๐๐ บาท และค่าเสื่อมสภาพของรถเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทโจทก์ที่ ๒ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและนอกโรงพยาบาลรวม๓๒ วัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นส่วนตัวเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท ใบหน้าเสียโฉมติดตัวขอคิดเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าขาดประโยชน์ที่มิได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงในการปฏิบัติหน้าที่ขับรถเดือนละ ๓,๕๐๐ บาท เป็นเวลา ๑๒ เดือน เป็นเงิน๔๒,๐๐๐ บาท และขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้จากวันฟ้องไปเป็นเวลา ๕ ปีรวมเป็นค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๒ ทั้งสิ้น ๖๗,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๑๖,๙๐๐ บาทให้แก่โจทก์ที่ ๑ และชำระเงิน๖๗,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ทั้งสองต่างฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนของตน มิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีที่จะฟ้องรวมกันมา จึงไม่รับฟ้องของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าโจทก์ทั้งสองจะฟ้องรวมกันมาในคดีได้หรือไม่นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๙ บัญญัติไว้ว่าบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปอาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ฯลฯ” ซึ่งหมายความว่าต้องมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้น โดยถือหนี้อันเป็นมูลของคดีนั้นเป็นสารสำคัญ คือมูลกรณีเป็นเรื่องละเมิดร่วมกัน แม้ค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองจะแยกต่างหากจากกันได้ก็ตาม โจทก์ทั้งสองก็อาจเป็นโจทก์ร่วมกันในคดีเดียวกันได้ จากเหตุผลดังกล่าวโจทก์ทั้งสองจึงฟ้องรวมกันมาในคดีนี้ด้วยกันได้
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป

Share