แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การตอนแรกว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินจากโจทก์ตามฟ้อง สัญญากู้เป็นเอกสารปลอมลายมือชื่อช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ทำขึ้นเองเป็นคำให้การที่แสดงการปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ รวมทั้งอ้างเหตุแห่งการนั้นว่าสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม ส่วนที่ จำเลยให้การตอนหลังว่า หากศาลฟังว่าสัญญากู้เป็น เอกสารที่แท้จริง โจทก์ก็คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ก็มิใช่เป็นคำให้การที่ยอมรับหรือถือว่าจำเลยได้กู้เงินจากโจทก์จริง จึงมิได้ขัดแย้งกันเองหรือไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในคำฟ้องโจทก์คำให้การของจำเลยจึงแสดงโดยชัดแจ้งว่าปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งหมด จำเลยย่อมมีสิทธินำพยานเข้าสืบตามคำให้การได้ และนำพยานบุคคลเข้าสืบหักล้างสัญญากู้ตามฟ้องได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทำสัญญากู้และรับเงินไป จากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ การที่จำเลยนำสืบยอมรับว่า ทำสัญญากู้จริงถือว่าสละประเด็นเรื่องสัญญากู้ปลอมแล้ว อันเป็นการเจือสมกับที่โจทก์นำสืบให้ฟังได้ว่ามีการ ทำสัญญากู้กันจริง แม้จะแตกต่างกับคำให้การแต่ก็ เกี่ยวพันกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงไม่ เป็นการนอกเหนือจากคำให้การ ส่วนที่จำเลยนำสืบถึง การที่โจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนซื้อที่ดินกันแล้วขายแบ่ง กำไรกันเพื่อให้เห็นที่มาของสัญญากู้เงินว่าเป็นมาอย่างไร จำเลยย่อมนำสืบเรื่องดังกล่าวได้ เพราะเป็นรายละเอียด เกี่ยวพันกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว จำเลยหาจำต้อง ระบุในคำให้การไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2536 จำเลยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ 2,800,000 บาท โดยตกลงจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2537แต่จำเลยผิดนัด ขอให้จำเลยชำระเงิน 2,800,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2536ถึงวันฟ้อง 578,794.52 บาท รวม 3,378,794.52 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน2,800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้อง สัญญากู้เป็นเอกสารปลอมลายมือชื่อในช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ทำขึ้นเองจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ หากศาลฟังว่าสัญญากู้ที่แท้จริงเป็นเอกสาร โจทก์ก็คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องตามกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามมูลหนี้เดิมภายในกำหนดอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า เมื่อวันที่19 สิงหาคม 2536 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน2,800,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินกู้คืนภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2537 และเมื่อครบกำหนดชำระเงินกู้จำเลยยังมิได้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์
คดีมีข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่าคำให้การของจำเลยเป็นคำให้การชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองหรือไม่ และจำเลยมีสิทธินำสืบหักล้างสัญญากู้ตามฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หรือไม่โจทก์ฎีกาว่าคำให้การของจำเลยไม่ได้อ้างเหตุประกอบว่าสัญญากู้ปลอมหรือไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด จึงเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งจำเลยจึงหมดสิทธินำสืบตามคำให้การและไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเอกสารสัญญากู้ได้นอกจากนี้ยังให้การต่อไปว่า หากศาลฟังว่าสัญญากู้เป็นเอกสารที่แท้จริง โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคำให้การขัดแย้งกันเองไม่สามารถทราบได้ว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธฟ้องโจทก์กันแน่ คำให้การของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบได้นั้นเห็นว่า จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินจากโจทก์ตามฟ้องสัญญากู้เป็นเอกสารปลอม ลายมือชื่อช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยโจทก์ทำขึ้นเอง จึงเป็นคำให้การที่แสดงการปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าไม่ได้กู้เงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ รวมทั้งอ้างเหตุแห่งการนั้นว่าสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม ส่วนที่จำเลยให้การตอนหลังว่า หากศาลฟังว่าสัญญากู้เป็นเอกสารที่แท้จริงโจทก์ก็คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นก็มิใช่ว่าเป็นคำให้การที่ยอมรับหรือถือว่าจำเลยได้กู้เงินจากโจทก์จริง จึงมิได้ขัดแย้งกันเองหรือไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในคำฟ้องโจทก์ คำให้การของจำเลยจึงแสดงโดยชัดแจ้งว่าปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งหมดรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นแล้ว ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จำเลยมีสิทธินำพยานเข้าสืบได้และนำพยานบุคคลเข้าสืบหักล้างสัญญากู้ตามฟ้องได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ปัญหาข้อกฎหมายต่อไปมีว่า ข้อนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การหรือไม่ได้ปรากฏในคำให้การเป็นการไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยนำสืบว่านายอนุพงษ์บุตรจำเลยเป็นคนเขียนหรือกรอกข้อความสัญญากู้ทั้งฉบับ จำเลยลงลายมือชื่อช่องผู้กู้จริง และโจทก์กับจำเลยได้เข้าหุ้นกันซื้อที่ดินขายแบ่งกำไรกัน ซึ่งแตกต่างจากคำให้การของจำเลยที่อ้างว่า สัญญากู้ปลอม โจทก์ทำขึ้นเอง จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใดกับโจทก์ จึงเป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การหรือไม่ได้ปรากฏในคำให้การ เป็นการมิชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่การที่จำเลยนำสืบยอมรับว่าทำสัญญากู้จริงถือว่าสละประเด็นเรื่องสัญญากู้ปลอมแล้วอันเป็นการเจือสมกับที่โจทก์นำสืบให้ฟังได้ว่ามีการทำสัญญากู้กันจริง แม้จะแตกต่างกับคำให้การแต่ก็เกี่ยวพันกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงไม่เป็นการนอกเหนือจากคำให้การ ส่วนที่จำเลยนำสืบถึงการที่โจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนซื้อที่ดินกันแล้วขายแบ่งกำไรกันนั้น เห็นว่า จำเลยนำสืบเรื่องดังกล่าวเพื่อให้เห็นที่มาของสัญญากู้เงินว่าเป็นมาอย่างไรจำเลยย่อมนำสืบเรื่องดังกล่าวได้ เพราะเป็นรายละเอียดเกี่ยวพันกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว หาจำต้องระบุในคำให้การไม่ ข้อนำสืบของจำเลยจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน