คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยยึดรถแทรกเตอร์ของจำเลยขายทอดตลาด ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าซ่อมรถแทรกเตอร์ยื่นคำร้องขอรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ค่าซ่อม ดังนี้มิใช่เรื่องขอกันส่วนของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องไม่มีส่วนเป็นเจ้าของรถแทรกเตอร์ที่ถูกยึดขายทอดตลาด การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ค่าซ่อมรถแทรกเตอร์รายนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 5 หมื่นบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 197,967 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถแทรกเตอร์ของจำเลย 1 คัน ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 96,000 บาท
ก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการขายทอดตลาด ผู้ร้องซึ่งเป็นนิติบุคคลยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างผู้ร้องให้ทำการซ่อมรถแทรกเตอร์ดังกล่าวมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ร้องเกี่ยวกับรถแทรกเตอร์ของจำเลยที่ผู้ร้องครอบครองอยู่ โดยจำเลยค้างชำระค่าซ่อมให้โจทก์จำนวน30,716 บาท ผู้ร้องจึงยึดหน่วงรถแทรกเตอร์ไว้เป็นเวลา 15 เดือน ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถแทรกเตอร์ระหว่างที่ผู้ร้องยึดหน่วงเป็นเงิน 9,500 บาทรวมเป็นหนี้เกี่ยวกับการที่ผู้ร้องยึดหน่วงรถแทรกเตอร์ของจำเลยเป็นเงินทั้งสิ้น40,216 บาท ตามรายการละเอียดท้ายคำร้อง โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถแทรกเตอร์ของจำเลยไประหว่างที่ผู้ร้องใช้สิทธิยึดหน่วง จึงขอให้กันเงินจากการขายทอดตลาดจำนวน 40,216 บาท ให้ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องยอมปล่อยรถแทรกเตอร์ของจำเลยไปจากความครอบครองของผู้ร้องก่อนวันยื่นคำร้อง สิทธิยึดหน่วงของผู้ร้องเป็นอันระงับสิ้นไป และมูลหนี้ก็ได้มีอยู่จริง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถแทรกเตอร์ของจำเลยไว้ชำระหนี้ให้ผู้ร้องจำนวน 40,216 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามที่ผู้ร้องแก้ฎีกาว่าโจทก์ฎีกาไม่ได้ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าซ่อมรถแทรกเตอร์ของจำเลยคันที่จำเลยนำมาให้โจทก์ซ่อม แล้วค้างชำระค่าซ่อมจำนวน 40,216บาท ต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยยึดรถแทรกเตอร์ของจำเลยคันนี้ขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถแทรกเตอร์ของจำเลยมาชำระหนี้ค่าซ่อมที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ดังกล่าวนั้น กรณีเป็นที่เห็นได้ชัดว่ามิใช่เรื่องขอกันส่วนดังคำร้องของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องไม่มีส่วนเป็นเจ้าของรถแทรกเตอร์ที่ถูกยึดขายทอดตลาดแต่ประการใดเลย การที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ค่าซ่อมรถแทรกเตอร์รายนี้จึงต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ในคดีนี้ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ค่าซ่อมรถแทรกเตอร์ให้ผู้ร้องจริง โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ผู้ร้อง เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้โจทก์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share