แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกู้เงินโดยเอาที่ดินและบ้านมาทำจำนองเป็นประกันหนี้นั้น เมื่อไม่มีข้อตกลงให้เจ้าหนี้ผู้รับจำนองคิดดอกเบี้ยทบต้นได้กรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรก ซึ่งห้ามเอาดอกเบี้ยทบเข้ากับต้นเงิน
ประเพณีการค้าของธนาคารที่ให้ธนาคารเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบเมื่อผู้กล่าวอ้างไม่นำสืบก็รับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอไถ่การจำนองโดยว่าโจทก์กู้เงินจำเลยไป 50,000 บาทและได้เอาที่ดินพร้อมด้วยเรือน 1 หลังจำนองไว้ ดอกเบี้ยค้าง โจทก์จึงต้องเปลี่ยนสัญญาใหม่โดยเพิ่มดอกเบี้ยกับต้นเงินเป็นเงิน 95,000 บาท ต่อมาจำเลยแจ้งว่าโจทก์ค้างต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 150,718.51 บาทโจทก์เห็นว่าเป็นการเกินเลยไปมาก จึงขอชำระเพียง 130,321.72 บาทและจำเลยได้ยุยงมิให้มีผู้ซื้อเรือนของโจทก์ โจทก์ต้องเสียหาย จึงขอให้บังคับจำเลยให้โจทก์ไถ่ถอนการจำนองและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีโจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยฝ่ายเดียว จึงไม่มีหนี้สินที่จะหักทอนบัญชีกัน กรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคแรก ซึ่งห้ามเรียกดอกเบี้ยทบต้น พิพากษาให้จำเลยยอมให้โจทก์ไถ่ถอนการจำนองและคืนเงิน 21,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญากู้โดยการจำนองมิได้มีข้อความปรากฏตกลงกันให้จำเลยคิดดอกเบี้ยทบต้นได้หรือมีข้อตกลงกันเป็นหนังสือแต่ประการใด ทั้งข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าโจทก์เป็นลูกหนี้จำเลยแต่ฝ่ายเดียว ไม่มีหนี้สินอะไรที่จะหักกลบลบหนี้ในทางบัญชีเดินสะพัดได้ กรณีต้องปรับด้วยมาตรา 655 วรรคแรก ซึ่งห้ามเอาดอกเบี้ยทบเข้ากับต้นเงิน
ที่จำเลยฎีกาว่า เป็นประเพณีการค้าของธนาคารเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าให้ธนาคารเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประเพณีการค้าของธนาคารในกรณีดังกล่าวจะมีอยู่อย่างไรนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบ เมื่อจำเลยกล่าวอ้างขึ้นแต่ไม่นำสืบก็รับฟังไม่ได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน