แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับโอนที่ดินตามน.ส.3 จากส.ผู้เป็นเจ้าของเดิมชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวซึ่งส.จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ แต่ในการบรรยายฟ้องแทนที่โจทก์จะกล่าวถึงรายละเอียดของมูลหนี้ตามสัญญาจำนองโดยตรง เช่นจำนวนเงินที่จำนอง อัตราดอกเบี้ย วันผิดนัดชำระหนี้ ดอกเบี้ยที่ค้างชำระและจำนวนเงินทั้งหมดที่จำเลยจะต้องรับผิดเป็นต้น อันเป็นข้อสาระสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวในคำฟ้องโจทก์กลับกล่าวถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ของศาลชั้นต้น โดยระบุว่าหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์ คือ ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน ค่าทนายความ ค่าดอกเบี้ยและเงินตามฟ้องรวมทั้งสิ้นจำนวน 86,414.60 บาท ซึ่งเมื่อตรวจสอบคดีดังกล่าวแล้วปรากฎว่าผู้เป็นจำเลยคือทายาทผู้รับมรดกของส.หาใช่จำเลยในคดีนี้ไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องในลักษณะดังกล่าวโ่ดยนำเอามูลหนี้ของจำเลยในคดีอื่นมาให้จำเลยในคดีนี้รับผิด จำเลยย่อมไม่สามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ถึงแม้จำเลยจะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัญญาจำนองเพราะจำเลยเคยร้องขัดทรัพย์ในคดีแพ่ง ดังกล่าวและเคยฟ้องคดีขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 168/2531 ของศาลชั้นต้น ดังที่โจทก์ฎีกาแต่ก็เป็นการทราบเฉพาะในคดีนั้นหาอาจนำมาใช้ในคดีนี้ด้วยไม่ฟ้องโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแพ่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2506 นายสม พุทธธรรมจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เนื้อที่ 21 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์เพื่อประกันหนี้เงินกู้ ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องบังคับจำนองและศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บังคับให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องจำนวน48,653.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 32,850 บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ชำระเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความอีก 2,000 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2529 จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินจำนองมาเป็นของตนจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดตามสัญญาจำนองในดคีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ดังกล่าวด้วย คิดถึงวันฟ้องหนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ของศาลชั้นต้นมีดังนี้คือ เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน จำนวน 316 บาท ค่าทนายความตามคำพิพากษา จำนวน 2,000 บาทดอกเบี้ยตามคำพิพากษาในเวลา 8 ปี 11 เดือน 27 วันเป็นเงิน35,445.15 บาท และเงินตามฟ้องอีกจำนวน 48,653.45 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 86,414.60 บาท จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ดังกล่าวไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์ โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งบังคับจำนองไปยังจำเลย ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองภายในระยะเวลาที่กำหนดแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเป็นเงินจำนวน 86,414.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 32,850 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า มูลหนี้ในคดีนี้เป็นมูลหนี้รายเดียวกับหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2535 ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำและการที่โจทก์ไม่ฟ้องตามสัญญาจำนอง ไม่บรรยายถึงสาระสำคัญและความรับผิดตามสัญญาจำนอง การคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อไรเหตุใดโจทก์จึงคิดดอกเบี้ยเกินห้าปีซึ่งมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลับแห่งข้อหา ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 86,414.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน32,852 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับโอนที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 84 หมู่ที่ 14 ตำบลดอกคำใต้ อำเภอดอกคำใต้จังหวัดพะเยา จากนายสมผู้เป็นเจ้าของเดิมชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวซึ่งนายสมจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์แต่ในการบรรยายฟ้องแทนที่โจทก์จะกล่าวถึงรายละเอียดของมูลหนี้ตามสัญญาจำนองโดยตรง เช่น จำนวนเงินที่จำนอง อัตราดอกเบี้ยวันผิดนัดชำระหนี้ ดอกเบี้ยที่ค้างชำระและจำนวนเงินทั้งหมดที่จำเลยจะต้องรับผิด เป็นต้น อันเป็นข้อสาระสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง โจทก์กลับกล่าวถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522 ของศาลชั้นต้น โดยระบุว่าหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์คือ ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนค่าทนายความ ค่าดอกเบี้ยและเงินตามฟ้องรวมทั้งสิ้นจำนวน 86,414.60 บาท ซึ่งเมื่อตรวจสอบคดีดังกล่าวแล้วปรากฎว่าผู้เป็นจำเลยคือนางต่อมแ้ว พุทธรรม กับพวกรวม 6 คน ทายาทผู้รับมรดกของนายสมที่ถึงแก่กรรม หาใช่จำเลยในคดีนี้ไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องในลักษณะดังกล่าวโดยนำเอามูลหนี้ของจำเลยในคดีอื่นมาให้จำเลยในคดีนี้รับผิด จำเลยย่อมไม่สามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ถึงแม้จำเลยจะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัญญาจำนองเพราะจำเลยเคยร้องขัดทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 21/2522ของศาลชั้นต้น และเคยฟ้องคดีขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 168/2531 ของศาลชั้นต้น ดังที่โจทก์ฎีกาแต่ก็เป็นการทราบเฉพาะในคดีนั้น หาอาจนำมาใช้ในคดีนี้ด้วยไม่ฟ้องโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
พิพากษายืน