คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 190 บัญญัติว่านิติกรรมใดมีเงื่อนไขบังคับก่อนและเป็นเงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่ สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้ นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะหมายความว่าเงื่อนไขบังคับก่อนซึ่งจะทำให้นิติกรรมเกิดผลขึ้นหรือไม่ย่อมอยู่ที่ความพอใจหรือความสมัครใจของลูกหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีบุคคลอื่น หรืออำนาจใด ๆ เข้ามาผูกพันกับลูกหนี้ การที่จำเลยทั้งสองตกลงจะคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยทั้งสองขายที่ดินได้นั้น ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ความพอใจหรือความสมัครใจของจำเลยทั้งสองแต่ฝ่ายเดียวแต่ขึ้นอยู่กับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้จะซื้อด้วยว่ามีความพอใจหรือไม่พอใจที่จะซื้อตามข้อเสนอของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ดังนั้นเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวจึงไม่ใช่เงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่สุดแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้จึงไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์กับผู้มีชื่อร่วมกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจากจำเลยทั้งสอง วางเงินมัดจำให้จำเลยที่ 1รับไปครบถ้วนแล้วเป็นเงิน 800,000 บาท ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกันจำเลยทั้งสองตกลงคืนเงินมัดจำให้โจทก์และร่วมกันทำบันทึกว่าจะคืนเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท ให้โจทก์เมื่อขายที่ดินแปลงดังกล่าวได้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 268,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ ฝ่ายจำเลยจึงบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายและริบเงินมัดจำจำนวน 800,000 บาท โจทก์กับพวกไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจำเลยทั้งสองไม่เคยรับสภาพหนี้ว่าจะคืนเงินมัดจำ จำนวน 200,000 บาทให้แก่โจทก์ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองขายที่ดินดังกล่าวได้ในราคาไม่ต่ำกว่าที่จะขายให้แก่โจทก์และพวกจำเลยทั้งสองจะคืนเงินมัดจำส่วนของโจทก์จำนวน 200,000 บาทให้แก่โจทก์โดยเห็นแก่มนุษยธรรม ขณะนี้ที่ดินดังกล่าวยังขายไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องคืนเงินมัดจำตามบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายคำฟ้องหมาย 2ปรากฏข้อความอย่างชัดแจ้งว่า เมื่อขายที่ดินดังกล่าวได้ อันเป็นเงื่อนไขบังคับก่อน ดังนั้นข้อตกลงตามบันทึกย่อมเป็นผลต่อเมื่อเงื่อนไขได้สำเร็จแล้ว ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลที่ดินดังกล่าวยังขายไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 190 บัญญัติว่า “นิติกรรมใดมีเงื่อนไขบังคับก่อนและเป็นเงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่ สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะ” กฎหมายมาตรานี้หมายความว่า เงื่อนไขบังคับก่อนซึ่งจะทำให้นิติกรรมเกิดผลขึ้นหรือไม่ ย่อมอยู่ที่ความพอใจหรือความสมัครใจของลูกหนี้แต่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีบุคคลอื่นหรืออำนาจใด ๆ เข้ามาผูกพันกับลูกหนี้คดีนี้ การที่จำเลยทั้งสองตกลงจะคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองขายที่ดินได้นั้นจำเลยทั้งสองจะขายที่ดินได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ความพอใจหรือความสมัครใจของจำเลยทั้งสองแต่ฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้จะซื้อด้วยว่ามีความพอใจหรือไม่พอใจที่จะซื้อตามข้อเสนอของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ดังนั้น เงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวจึงไม่ใช่เงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้ ข้อตกลงของจำเลยทั้งสองที่ว่า จะคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์เมื่อขายที่ดินได้จึงไม่เป็นโมฆะมีผลใช้บังคับได้ เมื่อที่ดินพิพาทยังไม่ได้ขาย จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ได้ผิดข้อตกลง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้…”
พิพากษายืน

Share