คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในฟ้องแต่เพียงว่า “เมื่อจำเลยผิดสัญญากับโจทก์ ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,500,000 บาท” ความเสียหายนี้จะเสียหายอย่างไรเพราะเหตุอะไร และเป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด โจทก์มิได้กล่าวและแสดงรายละเอียดมาในฟ้องเลย เป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องของโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายจึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจ้างเหมาทำไม้และแผ้วถางป่าในบริเวณอ่างเก็บน้ำลำมูล โดยจำเลยไม่ปฏิบัติงานการทำไม้และแผ้วถางป่าดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่วันทำสัญญากับโจทก์ กล่าวคือ จำเลยได้ทำไม้และแผ้วถางป่าได้เพียง4,500 ไร่ จากจำนวนเนื้อที่ 11,500 ไร่ จำเลยยังคงค้างไม่ได้ถางป่าจำนวน 7,000 ไร่ เมื่อจำเลยผิดสัญญากับโจทก์ ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,500,000 บาท โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยนำเงินค่าเสียหายมาชดใช้ จำเลยเพิกเฉยขอศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา และไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหาย ความจริงพื้นที่ที่จะต้องทำการแผ้วถางทั้งหมดมีเพียง 6,521.45ไร่เท่านั้น มิใช่ 11,500 ไร่ จำเลยแผ้วถางไป 4,500 ไร่ คงเหลือเพียง 2,021.45ไร่เท่านั้น ไม่ใช่ 7,000 ไร่ พื้นที่ที่เหลือ 2,021.45 ไร่ เมื่อโจทก์จ้างบุคคลที่สามเข้าทำงานแทนจำเลยและให้จำเลยรับผิดในค่าจ้าง (ต้องไม่เกิน 404,290 บาท)แล้วจะมีไม้ที่ต่ำกว่าขนาดเป็นไม้ท่อน ไม้ฟืนจำนวน 101,072.50 ลูกบาศก์เมตรคิดเป็นเงิน 20,214,500 บาท ตกเป็นสิทธิของจำเลยที่จะได้ตามสัญญาเมื่อโจทก์เลิกสัญญาต้องคืนเงินประกันจำนวน 26,000 บาทให้จำเลย โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องและฟ้องแย้งให้ศาลบังคับให้โจทก์ส่งมอบผลผลิตคือไม้จำนวน 101,072.50ลูกบาศก์เมตรแก่จำเลย หากส่งมอบไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 20,240,500บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้โจทก์รับเงินค่าจ้างถางจำนวน 404,290 บาทจากจำเลย โดยจำเลยขอหักเงินจำนวนนี้เมื่อโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเรียบร้อยแล้วให้โจทก์คืนเงินประกัน 26,000 บาทแก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิได้ไม้ทุกชนิดที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำลำมูล โจทก์ไม่จำต้องมอบไม้หรือชดใช้ค่าไม้ตามฟ้องแย้งให้จำเลยสัญญาถูกโจทก์บอกเลิกแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิขอคืนเงินประกัน ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดการชี้สองสถานและสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องแย้งจำเลยย่อมตกไปให้จำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยเสีย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่โจทก์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เพียงใดก็ต้องอยู่ในขอบเขตของข้อสัญญาดังกล่าวตามข้อสัญญาดังกล่าวข้างต้น เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์มีสิทธิจัดทำเสียเองหรือจ้างบุคคลอื่นทำไม้และแผ้วถางป่าแทน จำเลยจะต้องชดใช้เงินค่าใช้จ่ายที่โจทก์ได้ทำเอง หรือค่าจ้างที่จ้างบุคคลอื่นทำไม้และแผ้วถางป่าทั้งสิ้น แต่ตามฟ้องโจทก์มิได้กล่าวเลยว่า เมื่อโจทก์เลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์ได้เข้าทำเสียเองและเสียค่าใช้จ่ายไปเท่าใด หรือจ้างบุคคลอื่นทำแทนและเสียค่าใช้จ่ายไปเท่าใด เพื่อว่าจำเลยจะได้ให้การต่อสู้ข้ออ้างของโจทก์ได้ ในเรื่องเงินประกันจำนวน 26,000 บาท ที่จำเลยวางไว้กับโจทก์เพื่อการปฏิบัติตามสัญญา ฟ้องโจทก์มิได้กล่าวว่าเมื่อโจทก์เลิกสัญญากับจำเลยแล้วโจทก์ได้จัดการอย่างไรกับเงินจำนวนนี้ เช่นคืนให้จำเลยหรือจัดเอาเป็นการใช้ค่าเสียหายบางส่วน หรือริบเสีย โจทก์กล่าวในฟ้องแต่เพียงว่า”เมื่อจำเลยผิดสัญญากับโจทก์ ย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,500,000 บาท” เท่านั้น แสดงว่าการเรียกค่าเสียหายของโจทก์มิได้อาศัยสัญญาเป็นข้ออ้าง และมิได้เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับอันเกิดจากการที่โจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลย หากจำเลยผิดสัญญาจริง ก็เป็นการที่โจทก์ถือโอกาสเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยเพราะเป็นการคาดคะเนเอาว่าย่อมเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายความเสียหายอย่างใดมิได้ยืนยันไปให้แน่นอน โจทก์เองก็จะไม่มีประเด็นนำสืบการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าค่าจ้างถางป่าของโจทก์ไม่ควรเกิน404,290 บาท ก็เป็นคำให้การแบบเดาสุ่มกันเอาไว้เท่านั้นเอง โดยไม่รู้ว่าโจทก์เรียกเอาค่าเสียหายโดยอาศัยอะไรเป็นข้ออ้างความเสียหายที่แท้จริงของโจทก์เป็นอย่างไร คำฟ้องของโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายจึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 เป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฎีกาขอให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป จึงเป็นคดีมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เสียค่าขึ้นศาลเพียง200 บาท ตามตาราง 1(2)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2521 แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมา87,600 บาท เกินอัตราตามกฎหมาย

พิพากษายืน

Share