คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6927/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีอยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นก็ต้องพิจารณาว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่จะประทับฟ้องหรือไม่ แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลยดังที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 167 ซึ่งศาลชั้นต้นได้ไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์แล้ววินิจฉัยการกระทำของจำเลยทั้งหกตามที่โจทก์บรรยายฟ้องอันเป็นประเด็นแห่งคดี โดยเห็นว่าจำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง คดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องให้จำเลยทั้งหกรับผิด จึงพิพากษายกฟ้องและยกคำขอส่วนแพ่ง จึงเป็นกรณีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 มิใช่คำสั่งไม่รับคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ที่จะต้องคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 326, 328, 332 พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 4 ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันลงพิมพ์โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ไทยโพสต์ แนวหน้า บ้านเมือง ผู้จัดการรายวัน คมชัดลึก สยามรัฐ กรุงเทพธุรกิจ ข่าวสด มติชนรายวัน และมติชนรายสัปดาห์ รวมถึงสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง และลงบนเว็บไซต์ที่จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันหมิ่นประมาทโจทก์ไว้ โดยให้จำเลยทั้งหกเป็นผู้ร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง และยกคำขอส่วนแพ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 นายสมัคร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแก่โจทก์ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 34/2551 คณะกรรมการประกอบด้วย นายชัยเกษม อัยการสูงสุด เป็นประธานกรรมการ นายนที รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการและเลขานุการ และในวันเดียวกันนั้นเอง สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้โจทก์มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้พลตำรวจเอกพัชรวาท รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รักษาราชการแทน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2551 สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการไว้ก่อน ในระหว่างที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงโจทก์ดำเนินการสอบสวน หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ฉบับวันที่ 25 และวันที่ 28 เมษายน 2551 ลงข่าวมีเนื้อความสำคัญ 2 ประการ ประการแรกว่า ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรและเข้ารักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราช โจทก์ได้ไปตรวจเยี่ยมกองอำนวยการร่วมเพียงครั้งเดียว ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินกลับ โจทก์ไม่ได้ไปส่งเสด็จ จำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์มาหานายเวรของโจทก์เพื่อแจ้งเรื่องให้ทราบ แต่ได้รับคำตอบว่าโจทก์ไม่มา ให้จำเลยที่ 1 ถวายความปลอดภัยแทน ประการที่สองว่า ในวันที่ 2 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นวันสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณของสี่เหล่าทัพ แต่โจทก์ไม่มาถวายการอารักขาและรักษาความปลอดภัย แต่กลับไปเปิดสถานบริการนวดเพื่อสุขภาพของเพื่อนที่ถนนพระราม 2
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาข้อต่อมาว่า ศาลล่างทั้งสองไม่คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า แม้คดีอยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นก็ต้องพิจารณาว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้หรือไม่ แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิด ก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลยดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 ซึ่งศาลชั้นต้นได้ไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์แล้ววินิจฉัยการกระทำของจำเลยทั้งหกตามที่โจทก์บรรยายไว้ในฟ้องอันเป็นประเด็นแห่งคดี โดยเห็นว่าจำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง คดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องให้จำเลยทั้งหกรับผิด จึงพิพากษายกฟ้องและยกคำขอส่วนแพ่ง จึงเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131 (2) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 มิใช่คำสั่งไม่รับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ที่จะต้องคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่งไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share