แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์จับกุมขณะขับรถยนต์พร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีน 100 เม็ด จำเลยยอมรับว่ายังมีเมทแอมเฟตามีนอีกบางส่วนเก็บไว้ที่บ้านด้วย เจ้าพนักงานตำรวจจึงนำจำเลยไปตรวจค้นที่บ้านพักซึ่งอยู่ในเขตท้องที่สถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น พบเมทแอมเฟตามีนอีก 26 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจแยกดำเนินคดีเป็น 2 คดี แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นเมทแอมเฟตามีนได้ต่างสถานที่กันเป็นเพราะการแยกเก็บรักษาหรือซุกซ่อนเท่านั้น เหตุที่มีการตรวจค้นบ้านจำเลยหลังจากถูกจับกุมหลายชั่วโมง เนื่องมาจากกระบวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจ ลำพังเพียงการตรวจยึดได้ของกลางต่างเวลากันไม่ทำให้การที่จำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนไว้ในคราวเดียวกันกลายเป็นการกระทำต่างกรรม การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียว เมื่อคดีแรกศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดและคดีถึงที่สุดไปแล้ว สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 55, 72, 87 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางและให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.15362/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วางโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.1536/2545 (ที่ถูก ย.15362/2545) ของศาลชั้นต้น ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์จับจำเลยได้ขณะจำเลยขับรถมาจอดอยู่ในท้องที่และยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 100 เม็ด เป็นของกลาง แล้วมีการสอบสวนขยายผลจนนำไปสู่การขอหมายค้นเพื่อตรวจค้นบ้านที่จำเลยพักอาศัยในวันเดียวกันและพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 26 เม็ด ของกลางในคดีนี้ ในการสอบสวน จำเลยถูกถามว่ามีเมทแอมเฟตามีนเหลืออีกหรือไม่ จำเลยรับว่ามีอีกส่วนหนึ่งเหลือประมาณ 20 เม็ด อยู่ที่บ้าน และในขณะเข้าตรวจค้นที่บ้านของจำเลย จำเลยเป็นผู้หยิบเมทแอมเฟตามีนส่งให้เจ้าพนักงานตำรวจด้วยตนเองจึงรับฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนก็คือเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกัน โดยจำเลยมีเจตนาครอบครองในคราวเดียวกัน แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นได้ต่างสถานที่กันก็เป็นเพราะการแยกเก็บรักษาหรือซุกซ่อนเท่านั้น เหตุที่มีการตรวจค้นบ้านของจำเลยหลังจากนั้นหลายชั่วโมงเนื่องมาจากกระบวนการในการสอบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจ การขอหมายค้นรวมถึงการประสานงานกับเจ้าพนักงานตำรวจเจ้าของท้องที่ที่บ้านของจำเลย ลำพังการตรวจยึดได้ของกลางต่างเวลากันไม่ทำให้การที่จำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนไว้ในคราวเดียวกันกลายเป็นการกระทำต่างกรรมกัน ทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยได้รับเมทแอมเฟตามีนทั้งสองส่วนนั้นมาคนละคราวอันจะทำให้สามารถแยกเจตนาในการครอบครองเมทแอมเฟตามีนนั้นได้ เช่นนี้การกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้กับในคดีหมายเลขแดงที่ ย.15362/2545 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว เมื่อจำเลยถูกดำเนินคดีในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 100 เม็ด และศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดดังกล่าวซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (4) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน