แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมและผู้จัดการมรดกของ พ. ได้ครอบครองที่พิพาทสืบต่อมาในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ และเป็นไปโดยสงบและเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของ ส่วนจำเลยเป็นทายาทผู้สืบกรรมสิทธิ์ จาก ส. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาท ฉะนั้น ภาระการพิสูจน์ว่าการครอบครองที่พิพาทของฝ่ายโจทก์ได้เป็นไปโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของย่อมตกอยู่แก่โจทก์ (อ้างฎีกาที่ 521/2493, 1112/2493)
แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายนำสืบก่อนตามคำสั่งศาลชั้นต้น หากจะทำการพิจารณาวินิจฉัยต่อไป ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลฎีกาย่อมดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี ที่โจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนได้ โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาใหม่
การที่ พ. ยอมให้ ส. เอาที่พิพาทที่ ส.จำนองไว้กับ พ. ตีใช้หนี้ แม้จะมิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน เมื่อ พ. กับโจทก์ซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองมาเกิน 10 ปี ฝ่ายโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามมาตรา 1382 สิทธิไถ่ถอนจำนองของจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ส. จึงระงับไป จำเลยจะเถียงกันว่าเมื่อไม่มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง การจำนองก็ยังมีอยู่หาได้ไม่ เพราะกรณีเป็นการที่ฝ่ายจำเลยยกที่พิพาทตีใช้หนี้และฝ่ายโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว หนี้จำนองย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 ประกอบมาตรา 744 (1) ทั้งจำเลยไม่ใช่บุคคลภายนอกซึ่งจะถือได้ว่า เมื่อไม่จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองตามมาตรา 746 การจำนองก็ไม่ระงับไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายสุวรรณได้จำนองที่ดินโฉนดที่ ๘๕ ไว้กับพระยาพิพัฒนธนากร นายสุวรรณไม่สามารถไถ่ถอนจำนองได้ จึงยกที่ดังกล่าวแทนหนี้จำนองและดอกเบี้ย พระยาพิพัฒนธนากรได้ครอบครองด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมา เป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ได้ให้ผู้มีชื่อและทายาทนายสุวรรณเช่า พระยาพิพัฒนธนากรถึงแก่กรรม โจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมและผู้จัดการมรดก ได้ครอบครองที่แปลงนี้สืบต่อมาในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นไปโดยความสงบและเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของ
ปี ๒๕๐๗ จำเลยยื่นคำร้องขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้โดยอ้างว่าได้ครอบครองในฐานะทายาทโดยธรรมนายสุวรรณ
ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของพระยาพิพัฒนธนากรตลอดจนถึงโจทก์ โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง กับให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการแก้ทะเบียนโฉนดเลขที่ ๘๕ ดังกล่าวใส่ชื่อพระยาพิพัฒนธนากรหรือชื่อโจทก์ ฯลฯ
จำเลยทุกคนเว้นจำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยซึ่งเป็นทายาทนายสุวรรณรับมรดกที่ดินแปลงนี้ มอบที่พิพาทให้พระยาพิพัฒนธนากรผู้รับจำนองจัดหาผลประโยชน์ จำเลยและนายสุวรรณไม่ได้ตกลงขายที่พิพาทให้เป็นการใช้หนี้จำนอง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าพระยาพิพัฒนธนากรและโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยความสงบและเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโฉนดที่ ๘๕ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ฯลฯ
จำเลยทุกคนเว้นจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่อุทธรณ์ทุกคนฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในเรื่องหน้าที่นำสืบนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยเป็นทายาทผู้สืบกรรมสิทธิ์จากนายสุวรรณ ภาระการพิสูจน์ว่าการครอบครองที่พิพาทของฝ่ายโจทก์ได้เป็นไปโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของยังตกอยู่แก่โจทก์ โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน (อ้างฎีกาที่ ๕๒๑/๒๔๙๓, ๑๑๑๒/๒๔๙๓) คดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายนำสืบก่อน หากจะทำการพิจารณาวินิจฉัยต่อไป ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ฉะนั้น ศาลฎีกาจะได้ดำเนินการพิจารณาต่อไป ตามรูปคดีที่โจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อน โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาใหม่
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายสุวรรณยกที่พิพาทตีใช้หนี้แก่พระยาพิพัฒนธนากร พระยาพิพัฒนธนากรครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ เมื่อนายสุวรรณตายแล้ว พระยาพิพัฒนธนากรและโจทก์ยังครอบครองที่พิพาทต่อมาโดยความสงบ และเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี การที่พระยาพิพัฒนธนากรยอมให้นายสุวรรณเอาที่พิพาทตีใช้หนี้ แม้จะมิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน เมื่อพระยาพิพัฒนธนากรกับโจทก์ได้ครอบครองมาเกิน ๑๐ ปีดังกล่าว ฝ่ายโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ สิทธิไถ่ถอนของจำเลยจึงระงับไป และจำเลยจะเถียงว่าเมื่อไม่มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง การจำนองก็ยังมีอยู่หาได้ไม่ เพราะกรณีเป็นการที่ฝ่ายจำเลยยกที่พิพาทตีใช้หนี้และฝ่ายโจทก์ได้ครอบครองงที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว หนี้จำนองย่อมระงับไปตามมาตรา ๓๒๑ ประกอบด้วยมาตรา ๗๔๔ (๑) ทั้งจำเลยไม่ใช่บุคคลภายนอกซึ่งจะถือได้ว่าเมื่อไม่จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองตามมาตรา ๗๕๖ การจำนองก็ไม่ระงับไป
พิพากษายืน