คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม. ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม. ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์ ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดี โดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้ โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน โดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้ แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อน และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนวิสสระนุกูล โดยมีนายมานะ วีรไพบูลย์ เป็นครูใหญ่ ได้ทำความตกลงกับจำเลย โดยจำเลยให้นายมานะเป็นผู้กู้เงินเพื่อมาใช้ในกิจการโรงเรียนของโจทก์ และในการที่โจทก์ตกลงให้จำเลยเข้าทำงานเป็นสมุหบัญชีควบคุมการเงินของโรงเรียน และให้จำเลยหักเงินรายได้ของโรงเรียนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว ในระหว่างที่จำเลยเข้าควบคุมการเงินโรงเรียนโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๙๕ จนถึงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ โจทก์ได้ผ่อนชำระเงินกู้รวมทั้งดอกเบี้ย โดยจำเลยได้หักเงินโรงเรียนโจทก์ไปเป็นจำนวนรวม ๘๙,๒๗๕ บาท ตามบัญชีท้ายฟ้อง ครั้นต่อมาโจทก์ได้ทราบจากนายมานะเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๖ ว่า จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้รวม ๕ ฉบับไปฟ้องร้องนายมานะ และศาลได้พิพากษาในชั้นที่สุดให้นายมานะชำระเงินตามสัญญากู้แก่จำเลย ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๐๖/๒๕๐๖ ทั้งนี้ โดยจำเลยหาได้เอาเงินจำนวนดังกล่าวหักชดใช้หนี้เงินกู้รายนี้ไม่ จึงขอให้จำเลยชำระเงิน ๘๙,๒๗๕ บาทคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า นายมานะกู้เงินจำเลยเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนโจทก์ รายการเงินท้ายฟ้องเป็นการชำระหนี้รายอื่น ไม่เกี่ยวกับจำเลยซึ่งมิได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ หากสัญญากู้รายนี้เกี่ยวข้องกับโจทก์ นายมานะก็กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ ซึ่งได้ต่อสู้คดีเสร็จสิ้นไปแล้ว และโจทก์ก็ได้ทราบแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ทั้งจำเลยได้ฟ้องนายมานะเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๓ ศาลฎีกาได้พิพากษาในชั้นที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๑๖/๒๕๐๖ ซึ่งอ่านเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๐๖ โจทก์ย่อมต้องทราบมานาน คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และฟังว่าจำเลยได้หักเงินของโจทก์ไว้ชำระหนี้เงินกู้ที่นายมานุทำไว้กับจำเลยแล้ว แต่กลับมาฟ้องให้นายมานะชำระให้จำเลยอีก เงินที่จำเลยหักไว้จึงเป็นลาภมิควรได้ แต่หนี้บางรายการขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว คงเหลือหนี้ที่ต้องคืนให้โจทก์เป็นจำนวน ๖๐,๕๒๕ บาท พิพากษาให้คืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องและให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย ๕,๕๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีสิทธิเรียกคืนเพียงจำนวน ๔๙,๘๓๐ บาท และที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ใช้เงินค่าทนายนั้น เป็นจำนวนสูงกว่าอัตราชั้นสูง พิพากษาแก้ ให้จำเลยชำระเงิน ๔๙,๘๓๐ บาท และค่าทนายความในศาลชั้นต้น ๑,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นฟ้องซ้ำว่า คดีก่อน ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๑๖/๒๕๐๖ นั้น เป็นเรื่องจำเลยฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากนายมานะ ซึ่งศาลพิพากษาให้นายมานะแพ้คดี โดยเหตุที่ไม่สามารถนำสืบพิสูจน์การใช้เงินตามสัญญากู้ได้ แต่คดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่โจทก์ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ที่นายมานะได้กู้ไปแทนโจทก์ แต่ชำระให้จำเลยไปแล้วนั้นคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ในฎีกาข้ออายุความนั้น เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ซึ่งเรียกเงินคืนฐานลาภมิควรได้โดยเหตุดังกล่าวข้างต้นนั้น เห็นว่า สิทธิของโจทก์ในอันจะอ้างว่าการหักเงินของโจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้แก่จำเลย เป็นการปราศจากมูลตามกฎหมาย จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้องนายมานะในหนี้รายเดียวกันนี้ได้ถึงที่สุดแล้ว อันจะมีผลเป็นการรับชำระหนี้สองซ้ำเสียก่อน ก่อนที่คดีระหว่างจำเลยกับนายมานะอันโจทก์อ้างมาเป็นมูลฐานฟ้องจำเลยในคดีนี้จะถึงที่สุด จะให้ถือว่าโจทก์ได้ทราบถึงสิทธิของโจทก์ที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เพราะสิทธิของโจทก์เกิดขึ้นนับแต่คำพิพากษาในคดีก่อนดังกล่าวถึงที่สุด และปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบเรื่องนี้เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๖ ภายหลังได้อ่านคำพิพากษาฎีกาคดีนั้นแล้ว ซึ่งเมื่อนับมาจนถึงวันฟ้องก็ยังอยู่ภายในระยะเวลา ๑ ปี คดีจึงหาขาดอายุความไม่
ในประเด็นที่ว่า จำเลยต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงยืนตามศาลล่างทั้งสองว่า โจทก์ได้ให้นายมานะกู้เงินจำเลยมาใช้ในกิจการโรงเรียนโจทก์ตามข้อตกลงในฟ้อง และจำเลยได้หักเงินของโรงเรียนโจทก์ชำระหนี้ไปแล้ว แต่กลับนำสัญญากู้รายเดียวนี้ไปฟ้องเรียกเงินกู้จากนายมานะจนศาลพิพากษาชั้นที่สุด ให้นายมานะใช้เงินแก่โจทก์อีก และวินิจฉัยว่าจำเลยคงรับผิดในเงินจำนวน ๔๙,๘๓๐ บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
พิพากษายืน.

Share