คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายนั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายจำเลยมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15 หลังจากวิวาทชกต่อยกันแล้วผู้เสียหายได้วิ่งไล่ตามและเข้าไปชกต่อยจำเลยในร้านของป. อีกจำเลยจึงแทงเอาอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในการวิวาทกันนั่นเองหาใช่การวิวาทได้ขาดตอนลงแล้วไม่จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยแทงผู้เสียหายขณะผู้เสียหายปล้ำชกต่อยจำเลยจำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกแทงเนื่องจากเป็นระยะประชิดตัวอาวุธที่ใช้ก็เป็นเพียงเหล็กกลมปลายแบนด้านหนึ่งที่ใช้แทนไขควงไม่มีความแหลมคมเหมือนมีดปลายแหลมบาดแผลเป็นเพียงบาดแผลฉีดขาดขอบเรียบแพทย์ผู้ตรวจรักษาลงความเห็นว่าบาดแผลจะหายได้ภายในเวลาประมาณ10วันเท่านั้นแสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายไม่รุนแรงมากนักเมื่อแทงแล้วก็ผลักผู้เสียหายล้มแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่แทงซ้ำอีกพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ชัดเจนว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295เท่านั้นซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหานี้ตามที่พิจารณาได้ความมาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 6 เดือน คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อจ่าศาลจังหวัดปัตตานี6 เดือนต่อครั้ง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75แล้วให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้จำเลยอีกหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยมิได้สมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายจำเลยมิได้อุทธรณ์ ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยปฏิเสธว่ามิได้สมัครใจวิวาทจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า การวิวาทได้ขาดตอนลงแล้วตั้งแต่จำเลยวิ่งหนีเข้าไปในร้านของนายประจวบนั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายได้วิ่งไล่ตามและเข้าไปชกต่อยจำเลยในร้านอีกจำเลยจึงแทงเอา อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในการวิวาทกันนั่นเองจำเลยจึงมิอาจอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่าจำเลยมิได้ใช้มีดแทงผู้เสียหาย และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าเมื่อฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์รวมตลอดถึงลักษณะบาดแผลตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องที่มีรอยฉีกขาด ขอบเรียบ ยาวประมาณ 4เซนติเมตร หากจำเลยแทงด้วยมีดปลายแหลม ซึ่งมีความยาวประมาณ6 นิ้ว ใบมีดกว้างประมาณ 1 นิ้ว ดังผู้เสียหายว่าแล้ว ส่วนปลายแหลมของมีดจะต้องเข้าลึก และมีความยาวของบาดแผลเท่ากับ 1 นิ้วเท่านั้น จึงน่าเชื่อว่า อาวุธที่จำเลยใช้แทงน่าจะเป็นเหล็กลักษณะปลายแบนที่ใช้แทนไขควง ไม่มีความแหลมคมดังมีดปลายแหลมผู้เสียหายจึงมีบาดแผลตามที่ปรากฏในรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องส่วนจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่นั้นเมื่อได้ความว่า จำเลยแทงผู้เสียหายขณะผู้เสียหายปล้ำชกต่อยจำเลย จำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกแทงเนื่องจากเป็นระยะประชิดตัวอาวุธที่ใช้ก็เป็นเพียงเหล็กกลมปลายแบนด้านหนึ่ง บาดแผลเป็นเพียงบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบ แพทย์ผู้ตรวจรักษาลงความเห็นว่าบาดแผลจะหายได้ภายในเวลาประมาณ 10 วันเท่านั้น แสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายไม่รุนแรงมากนักเมื่อแทงแล้วก็ผลักผู้เสียหายล้มแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่แทงซ้ำอีก ประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วพิเคราะห์ตามรูปคดี เห็นได้ชัดเจนว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย มีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้นซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหานี้ตามที่พิจารณาได้ความมาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่มิได้ว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ขึ้นมาในเรื่องอายุของจำเลย และในชั้นนี้ก็มิได้มีฝ่ายใดฎีกานั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ กล่าวคือคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2531 จำเลยให้การชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2534 ว่าจำเลยมีอายุ 20 ปีตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และเบิกความต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่6 ธันวาคม 2536 ว่าจำเลยมีอายุ 22 ปี ดังนั้นขณะกระทำความผิดจำเลยจึงมีอายุกว่า 14 ปี แต่ยังไม่เกิน 17 ปี ศาลชอบที่จะลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยลงกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 1,500 บาทคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก2 เดือน และปรับ 1,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี และให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 โดยให้ไปรายงานตัวต่อจ่าศาลจังหวัดปัตตานี 6 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับบังคับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30

Share