แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกที่ดินพิพาทเพราะปิดบังพินัยกรรม จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า มิได้ปิดบังพินัยกรรมโจทก์และจำเลยรวมทั้งทายาทอื่นตกลงแบ่งมรดกโดยจำเลยได้ที่ดินพิพาท และจำเลยเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว โจทก์ไม่มีส่วนในที่ดินพิพาทอีก คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ดังนี้เป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับการรับมรดกที่ดินพิพาทนั่นเอง คำฟ้องโจทก์ที่ขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดก จึงเป็นการฟ้องเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนแต่ฝ่ายเดียว ส่วนฟ้องแย้งจำเลยที่ว่ามีการตกลงแบ่งมรดกและจำเลยเข้าครอบครองมรดกที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดแล้วทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความ หากเป็นจริงโจทก์ก็สิ้นความเป็นทายาทไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาท จึงเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของนายตา ใจอุด และนางขันแก้ว ใจอุด จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนางทองม้วน แก้วกำเนิด เป็นบุตรของนางขันแก้วกับนายอินทร์ แก้วกำเนิด นายตาและนางขันแก้วเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่11365 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 63.8 ตารางวา โดยจดทะเบียนถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาวันที่30 ตุลาคม 2532 นางขันแก้ว ถึงแก่กรรม นายตาได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวในส่วนของตนให้แก่บุคคลอื่น หลังจากนั้นนายตาก็ถึงแก่กรรม จึงยังคงเหลือที่ดินมรดกของนางขันแก้วครึ่งหนึ่งเป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 81.9 ตารางวา ที่จะตกแก่ทายาทนางขันแก้วครั้นวันที่ 15 กันยายน 2543 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอรับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวของนางขันแก้วโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองเป็นทายาทนางขันแก้ว ก่อนถึงแก่กรรมเจ้ามรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ให้แก่ผู้ใดและมีทายาทมีสิทธิที่ได้รับมรดกเพียง 3 คน คือ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนางทองม้วนซึ่งนางทองม้วนขอสละสิทธิไม่รับทรัพย์มรดกและเหลือทายาทเพียง 2 คน คือ จำเลยทั้งสอง เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ให้และได้ดำเนินการปิดประกาศให้ทราบทั่วกัน โจทก์ทราบความดังกล่าวได้ยื่นคำคัดค้านการโอนมรดกโดยแจ้งความจริงว่านางขันแก้วมีทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก 4 คน คือ โจทก์จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนางทองม้วน ที่จำเลยทั้งสองให้การต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงเป็นความเท็จ ภายหลังโจทก์ทราบว่านางขันแก้วได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เก็บพินัยกรรมไว้ โจทก์จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบเจ้าพนักงานที่ดินได้เรียกให้จำเลยทั้งสองนำพินัยกรรมมาแสดง การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาปิดบังพินัยกรรมและเจตนาเบียดบังทรัพย์มรดกโดยไม่ชอบ จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถูกจำกัด (ที่ถูกกำจัด) มิให้รับมรดกของนางขันแก้ว ใจอุด ในที่ดินโฉนดเลขที่11365 ตำบลหนองช้างคืน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน และไม่ให้จำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกทั้งสองจริงดังคำฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับมรดกเกิน 1 ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ เจ้ามรดกทั้งสองได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดิน 3 แปลง ของเจ้ามรดกทั้งสอง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่13514, 14512 และ 11365 กำหนดให้ที่ดิน 2 แปลงแรกเป็นของโจทก์ ส่วนแปลงที่ 3ให้แก่จำเลยทั้งสอง โจทก์และนางทองม้วนซึ่งเป็นมารดาโจทก์ บุคคลทั่วไปและทายาททราบเรื่องดีว่าใครได้ทรัพย์มรดกเท่าใด ในระหว่างเจ้ามรดกทั้งสองยังมีชีวิตอยู่เจ้ามรดกทั้งสองและทายาทตกลงกันว่าให้แบ่งมรดกตามข้อกำหนดในพินัยกรรม โดยมารดาโจทก์และนายตาได้ไปขอรับพินัยกรรมจากผู้ใหญ่บ้าน ทายาททุกคนร่วมกันตกลงแบ่งมรดก โจทก์ได้ขอให้เจ้ามรดกทั้งสองขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13514 นำเงินไปชำระหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้บุคคลอื่นทายาททุกคนยินยอมกระทำการแบ่งมรดกตามส่วนที่กำหนดในพินัยกรรมด้วยการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตามพินัยกรรมข้อ 2 โดยโจทก์และมารดาโจทก์ตลอดจนจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการแบ่งส่วนที่ดินเท่า ๆ กันต่างเก็บดอกผลเพื่อประโยชน์ของตน จำเลยที่ 1 นำพินัยกรรมมาเก็บรักษาไว้ด้วยความยินยอมของมารดาโจทก์ โจทก์ทราบเรื่องดี ปี 2532 นางขันแก้วถึงแก่กรรม ทายาทต่างครอบครองมรดกเรื่อยมา โจทก์ได้ขอรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 14512 โดยให้นายตาดำเนินการโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ และโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินนี้กับเจ้าหนี้ต่อมาปี 2537 โจทก์และมารดาโจทก์ขอให้นายตาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11365 เฉพาะส่วนของโจทก์และมารดาโจทก์ตามพินัยกรรม โจทก์และมารดาโจทก์ประสงค์จะนำเงินไปชำระหนี้ ผู้ซื้อได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์และมารดาโจทก์ จำเลยทั้งสองก็ยังคงทำประโยชน์ในที่ดินตามส่วนที่กำหนดในพินัยกรรมเรื่อยมาจำเลยทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์และมารดาโจทก์ได้รับมรดกส่วนของตนเองไปครบถ้วนแล้ว จึงแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่ามีทายาทคือจำเลยทั้งสอง โจทก์ทราบเรื่องจึงมาคัดค้าน จำเลยทั้งสองมิได้ปิดบังพินัยกรรม ทั้งการที่ทายาทขอประกาศรับมรดกโดยไม่ระบุว่ามีบุคคลอื่นเป็นทายาทด้วยนั้นไม่เป็นการปิดบังทรัพย์มรดกโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 11365 ในส่วนที่เป็นมรดกของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2544 รับคำให้การของจำเลยทั้งสอง ส่วนฟ้องแย้งมีคำสั่งว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะห้ามโจทก์ยุ่งเกี่ยว ทั้งไม่เกี่ยวกับเรื่องขอกำจัดมิให้รับมรดกตามฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาล
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้กำจัดจำเลยทั้งสองมิให้รับมรดกที่ดินพิพาทเพราะปิดบังพินัยกรรมห้ามจำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่ามิได้ปิดบังพินัยกรรม โจทก์และจำเลยทั้งสองรวมทั้งทายาทอื่นตกลงแบ่งมรดกโดยจำเลยทั้งสองได้ที่ดินพิพาท และจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว โจทก์ไม่มีส่วนในที่ดินพิพาทอีก คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ดังนี้เห็นได้ว่าเป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับการรับมรดกที่ดินพิพาทนั่นเองคำฟ้องโจทก์ที่ขอให้กำจัดจำเลยทั้งสองมิให้รับมรดกที่ดินพิพาท จึงเป็นการฟ้องเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนแต่ฝ่ายเดียว ส่วนฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองที่ว่ามีการตกลงแบ่งมรดกและจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองมรดกที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดแล้วทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความ หากเป็นจริงโจทก์ก็สิ้นความเป็นทายาทไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาทรวมทั้งไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ดังนี้ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองก็เพื่อจะได้มรดกที่ดินพิพาทแต่ฝ่ายเดียวเช่นกันฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้ววินิจฉัยตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา”