คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6861/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหาย อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ได้มาจากจำเลยโดยจำเลยขายฝาก จำเลยให้การว่าการขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน ขอให้ยกฟ้อง เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่เคยขายฝากให้โจทก์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท อันเป็นการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์
จำเลยไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาชำระเพิ่มเติมให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นกรณีที่จำเลยผู้ฎีกาเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด ถือได้ว่าจำเลยทิ้งฎีกา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246,247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2309 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 6 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าว ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 6 และที่ดินโฉนดเลขที่ 2309 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ได้มาจากจำเลยโดยการขายฝาก จำเลยให้การว่าการขายฝากเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน ขอให้ยกฟ้อง เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่เคยขายฝากให้โจทก์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท อันเป็นการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท จำเลยฎีกา คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามราคาที่ดินพิพาทรวมกับค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวจนถึงวันฟ้อง แต่จำเลยยื่นฎีกาโดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียง 200 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินพิพาท และให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาศาลฎีกาคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาวางศาลเพิ่ม จำเลยขอเวลาหาเงินมาชำระและขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปเป็นเวลา 45 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่เมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วจำเลยไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ยังขาดมาชำระต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงงดการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา และส่งสำนวนพร้อมด้วยคำพิพากษาศาลฎีกาคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป เห็นว่า เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาชำระเพิ่มเติมให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นกรณีที่จำเลยผู้ฎีกาเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด ถือได้ว่าจำเลยทิ้งฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246, 247 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share