แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยแต่งงานกันตามประเพณีนิยม (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส)อยู่กินกันฉันสามีภริยาทำมาหากินร่วมกันมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมานี้ย่อมเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน จำเลยมีสิทธิขอแบ่งได้ครึ่งหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์จำเลยได้แต่งงานกันตามประเพณี อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ร่วมกันลงทุนประกอบการค้า เก็บเงินที่เกิดผลประโยชน์จากการค้าร่วมกันไว้ได้ประมาณ 20,000 บาท จำเลยเป็นผู้เก็บฝากไว้ในธนาคารออมสินสาขาพระประแดงในนามของจำเลยต่อมาจำเลยป่วย ได้มอบการเงินให้นางชุ่มบุตรจำเลยไม่ยอมให้โจทก์มีส่วนใช้จ่าย จึงขอให้แบ่งเงิน
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยได้เสียกันอย่างลับ ๆ มิได้อยู่กันอย่างฉันสามีภริยา โจทก์มิได้ลงทุนร่วมกับจำเลย มีรายได้ไม่ถึง 40,000 บาท ถึงจะมีจำเลยเป็นผู้หามาจากทรัพย์สินของจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งเงินให้โจทก์ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 5,891.05 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่จำเลยอ้างว่าการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งเงินที่ทำมาหาได้ในระหว่างอยู่กินร่วมกับจำเลยนั้นได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งก็แต่เฉพาะทรัพย์ที่จำเลยได้มาโดยโจทก์มิได้ร่วมในการหาได้มาด้วยเท่านั้น แต่ในคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากที่โจทก์จำเลยอยู่กินร่วมกันและช่วยกันประกอบการค้าหาเลี้ยงชีพอย่างสามีภริยาแล้ว มีเงินฝากในธนาคารออมสินเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่จำเลยได้ฝากไว้แต่เดิม 11,782.11 บาท โดยฟังไม่ได้ว่าเป็นเงินที่จำเลยหาได้มาแต่ฝ่ายเดียวโดยโจทก์มิได้มีส่วนช่วยหาจึงต้องแบ่งครึ่งกัน ดังที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพิพากษามานั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน