คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6833/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะกระทำอนาจารผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้แขนรัดคอใช้มือปิดปาก จับทรวงอก และพยายามปลดตะขอกางเกงของผู้เสียหายพร้อมกับพูดขอให้ผู้เสียหายยอมให้จำเลยกระทำชำเราก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้ใช้อาวุธทำการขู่เข็ญหรือประทุษร้ายผู้เสียหาย ทั้งก่อน เกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยเคยติดต่อคบหากันอย่างคนรักพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับจำเลยไม่เคยกระทำความผิดหรือเคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยได้บรรเทาผลร้ายด้วยการยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหาย จนโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไม่ประสงค์จะให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา ดังนั้น หากปรานีจำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีและคุมความประพฤติจำเลยไว้เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติคอยสอดส่อง ดูแลแนะนำช่วยเหลือหรือตักเตือนให้จำเลยได้แก้ไขฟื้นฟู ตนเอง น่าจะบังเกิดผลดีแก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายน้อย มะลาศรี บิดาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง จำคุก 2 ปีปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่จำเลยและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลาไม่เกิน 15 ชั่วโมง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักและไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุกไม่ลงโทษปรับและไม่คุมความประพฤติจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบา และขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้จำเลยจะกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้แขนรัดคอ ใช้มือปิดปาก จับทรวงอก และพยายามปลดตะขอกางเกงของผู้เสียหายพร้อมกับพูดขอให้ผู้เสียหายยอมให้จำเลยกระทำชำเราก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้ใช้อาวุธทำการขู่เข็ญหรือประทุษร้ายผู้เสียหายแต่ประการใด ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยเคยติดต่อหรือคบหากันอย่างคนรักถึงกับผู้เสียหายเคยเขียนจดหมายเอกสารหมายล.1 มีข้อความบรรยายถึงความรักที่ผู้เสียหายมีต่อจำเลยมาก่อนพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงไม่ร้ายแรงมากนักประกอบกับจำเลยไม่เคยกระทำความผิดหรือเคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยได้บรรเทาผลร้ายด้วยการยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายจำนวน 40,000 บาทจนเป็นที่พอใจของโจทก์ร่วมและผู้เสียหายถึงขนาดที่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายยื่นคำร้องลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 ไม่ประสงค์จะให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น หากปรานีจำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้สักครั้งหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีและคุมความประพฤติจำเลยไว้เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติคอยสอดส่องดูแล แนะนำช่วยเหลือหรือตักเตือนให้จำเลยได้แก้ไขฟื้นฟูตนเอง น่าจะบังเกิดผลดีแก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่า ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้นเห็นว่าเมื่อคำนึงถึงอัตราโทษที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปีหรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว เห็นว่าการที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกแก่จำเลยเพียง 2 ปี นับว่าเป็นโทษจำคุกสถานเบาที่เป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะลงโทษจำคุกจำเลยในสถานเบากว่านี้อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นไม่รอการลงโทษ ไม่ลงโทษปรับและไม่คุมความประพฤติจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share