คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6826/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ยื่นคำร้องพร้อมกับฟ้องอุทธรณ์เจาะจงขอให้ ฐ. ซึ่งเป็นผู้ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ให้รับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ฐ. ได้สั่งในวันเดียวกันนั้นว่าไม่มีเหตุอันควรรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับรองอุทธรณ์โจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ยกคำร้องและศาลชั้นต้นสั่งในฟ้องอุทธรณ์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในคดีอาญาเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิจึงไม่รับอุทธรณ์โจทก์ในคดีอาญา คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว ดังนี้ คำฟ้องอุทธรณ์ส่วนอาญาของโจทก์จึงเป็นอันตกไป การที่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษารับรองอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์และศาลชั้นต้นสั่งว่า พ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งคำร้องนี้จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว โดยไม่จำต้องสั่งว่าจะรับรองให้หรือไม่อีก เพราะการขออนุญาตให้อุทธรณ์ต้องกระทำในระยะเวลาที่โจทก์ยังยื่นอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362, 365, 83, 90, 91และพิพากษาว่าที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องบริเวณสีแดงเนื้อที่ดินประมาณ 3 ไร่ 3 งาน และบริเวณสีเขียวเนื้อที่ดินประมาณ 2 ไร่ เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 45,725 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งรับคำฟ้องในคดีส่วนแพ่งสำหรับส่วนอาญาให้ประทับฟ้องเฉพาะความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ส่วนข้อหาบุกรุก ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอให้นายฐานิต ศิริจันทร์สว่างซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539นายฐานิตมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุอันควรรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ยกคำร้อง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ว่าอุทธรณ์โจทก์ในส่วนอาญาเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จึงไม่รับอุทธรณ์โจทก์ส่วนอาญา ให้รับอุทธรณ์โจทก์ในส่วนแพ่ง
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2539ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง นายธนาพนธ์ ชวรุ่ง ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอีกคนหนึ่งมีคำสั่งว่าพ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งคำร้องนี้ ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 9 ตุลาคม 2539 ขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นรับรองอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้วผู้พิพากษาสั่งว่าพ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งคำร้องนี้ ไม่ชอบ ไม่ถูกต้องควรจะสั่งว่าจะรับรองอุทธรณ์ให้หรือไม่รับรอง ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอให้รับรองอุทธรณ์ของโจทก์อีกครั้งหนึ่ง เห็นว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันที่4 ตุลาคม 2539 พร้อมกับฟ้องอุทธรณ์เจาะจงขอให้นายฐานิตศิริจันทร์สว่าง ซึ่งเป็นผู้ที่นั่งพิจารณาคดีนี้ให้รับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง นายฐานิตได้สั่งในวันเดียวกันนั้นว่าไม่มีเหตุอันควรรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับรองอุทธรณ์โจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริง ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ และสั่งในฟ้องอุทธรณ์ว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีอาญาเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จึงไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ในคดีอาญา คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นไปตามขั้นตอนและคำฟ้องอุทธรณ์ส่วนอาญาของโจทก์จึงเป็นอันตกไปแล้ว เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 9 ตุลาคม 2539 ซึ่งเป็นเวลาที่พ้นกำหนดอุทธรณ์แล้วขอให้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษารับรองอุทธรณ์ของโจทก์อีก และศาลชั้นต้นสั่งว่าพ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะสั่งคำร้องนี้ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบอีกเช่นกัน เพราะการขออนุญาตให้อุทธรณ์ต้องกระทำในระยะเวลาที่โจทก์ยังยื่นอุทธรณ์ได้
พิพากษายืน

Share