คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6806/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันส่งมอบของจึงขาดอายุความ 1 ปี ตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 46 ทั้งหากเป็นกรณีละเมิดคดีโจทก์ก็ขาดอายุความ 1 ปี แล้วเช่นเดียวกันนั้น คดีนี้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องผู้ขนส่งส่งมอบสินค้าให้ผู้รับตราส่งโดยผู้รับตราส่งไม่ได้เวนคืนต้นฉบับใบตราส่ง เป็นการที่ผู้ขนส่งปฏิบัติผิดสัญญารับขนของทางทะเล จำเลยในฐานะตัวแทนของผู้ขนส่งซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจึงต้องรับผิด ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ใน พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 และใน ป.พ.พ. ว่าด้วยการรับขน คดีของโจทก์จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นข้อนี้มิได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ทั้งคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัท ส. ผู้ขนส่งตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่สิงค์โปร์หรือไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ในการขนส่งสินค้าพิพาทโจทก์จะแจ้งชนิด ประเภท ปริมาณสินค้าให้จำเลยทราบเพื่อจองระวางเรือ จำเลยจะแจ้งชื่อเรือ วันและสถานที่รับสินค้าเพื่อให้โจทก์ส่งมอบสินค้าตามกำหนดโดยจำเลยออกใบตราส่งในนามของบริษัท ส. ผู้รับขนและออกหนังสือรับรองระวางหรือตู้สินค้าให้โจทก์ หลังจากส่งสินค้าแต่ละคราวให้จำเลยแล้ว โจทก์จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรียกเก็บเงินระหว่างประเทศจากผู้ซื้อผ่านธนาคาร ก. ตามวิธีสากลทั่วไป ซึ่งจำเลยเองนำสืบรับว่า จำเลยเป็นตัวแทนผู้ขนส่งติดต่อประสานงานกับโจทก์ จำเลยลงชื่อในใบตราส่งแทนผู้ขนส่ง จำเลยประกอบกิจการเป็นตัวแทนและนายหน้าให้ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าทางทะเลและเป็นตัวแทนผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากการรับขนของทะเล ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญารับขนของทางทะเลคดีนี้กับโจทก์แทนผู้ขนส่ง เมื่อปรากฏว่าผู้ขนส่งสินค้าพิพาทมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญารับขนของทางทะเลแต่ลำพังตนเอง ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 824 แม้จำเลยจะไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,858,449.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินจำนวน 1,848,573.28 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,452,478.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้นำเงินที่โจทก์ได้รับชำระหนี้จากผู้ซื้อจำนวน 37,921.59 บาท เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2549 เงินจำนวน 37,300 บาท เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549 เงินจำนวน 37,370 บาท เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2549 เงินจำนวน 37,294.23 บาท เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 เงินจำนวน 44,778.25 บาท เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2549 เงินจำนวน 41,567.22 บาท เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2550 และเงินจำนวน 36,532.31 บาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 หักชำระหนี้โจทก์โดยนำหักชำระดอกเบี้ยก่อน หากมีเงินเหลือจึงให้นำไปหักชำระหนี้เงินต้นตามวันที่ที่ชำระเงิน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ระหว่างเดือนมิถุนายน 2547 ถึงเดือนสิงหาคม 2547 โจทก์ผู้ขายสินค้าซึ่งอยู่ในประเทศไทยส่งสินค้าให้บริษัทกู๊ดลักค์ พร็อพเพอร์ตี้ อิมพอร์ต แอนด์ เอ็กซปอร์ต พีทีวาย จำกัด ผู้ซื้อสินค้าซึ่งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย รวม 3 ครั้ง โดยโจทก์ผู้ขายตกลงซื้อขายกับผู้ซื้อในราคา เอฟ โอ บี จำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทสคิพเพอร์ คอนเทนเนอร์ ไลน์ จำกัด ผู้ขนส่งสินค้าดังกล่าวซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ต่อมาผู้ซื้อรับสินค้าไปโดยไม่มีการเวนคืนต้นฉบับใบตราส่งและยังไม่ได้ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วผู้ซื้อผ่อนชำระค่าสินค้าให้โจทก์บางส่วน
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าขณะฟ้องคดีโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าพิพาทและโจทก์มีฐานะเป็นเพียงตัวแทนของผู้ซื้อสินค้าในการติดต่อกับจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ขนส่งทางทะเลเพื่อให้จัดการส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าและไม่ใช่คู่สัญญากับผู้ขนส่งในการขนส่งสินค้า โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายอันเป็นค่าสินค้าจากจำเลย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น เห็นว่า ในประเด็นเรื่องโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในขณะฟ้องคดีนี้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าข้ออ้างในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์เป็นข้อต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 460 วรรคสอง คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ผู้ส่งสินค้าหรือผู้ขายสินค้าฟ้องให้จำเลยในฐานะตัวแทนผู้ขนส่งรับผิดเพราะจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยไม่อาจยกเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ของสินค้ามาต่อสู้โจทก์ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในสินค้าโอนไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นได้ส่งมอบสินค้าพิพาทไว้แก่ท่าเรือปลายทางตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2547 วันที่ 29 กรกฎาคม 2547 และวันที่ 21 สิงหาคม 2547 จึงถือว่าผู้ขนส่งได้มอบของแล้ว ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 21 กันยายน 2548 เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันส่งมอบของจึงขาดอายุความ 1 ปีตามมาตรา 46 ทั้งหากเป็นกรณีละเมิดคดีโจทก์ก็ขาดอายุความ 1 ปี แล้วเช่นเดียวกันนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องผู้ขนส่งส่งมอบสินค้าให้ผู้รับตราส่งโดยผู้รับตราส่งไม่ได้เวนคืนต้นฉบับใบตราส่ง เป็นการที่ผู้ขนส่งปฏิบัติผิดสัญญารับขนของทางทะเล จำเลยในฐานะตัวแทนของผู้ขนส่งซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจึงต้องรับผิด ซึ่งในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ในพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 และในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการรับขน คดีโจทก์จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นข้อนี้มิได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ทั้งคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็ชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ใช่ผู้ขนส่งและไม่ใช่ผู้ทำสัญญารับขนแทนตัวการที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากสัญญารับขนของทางทะเลระหว่างโจทก์กับผู้ขนส่งนั้น พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาว่าจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทสคิพเพอร์ คอนเทนเนอร์ ไลน์ จำกัด ผู้ขนส่งตัวการ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ในการขนส่งสินค้าพิพาทโจทก์จะแจ้งชนิด ประเภท ปริมาณสินค้าให้จำเลยทราบเพื่อจองระวางเรือ จำเลยจะแจ้งชื่อเรือ วันและสถานที่รับสินค้าเพื่อให้โจทก์ส่งมอบสินค้าตามกำหนดโดยจำเลยจะออกใบตราส่งในนามของบริษัทสคิพเพอร์ คอนเทนเนอร์ ไลน์ จำกัด ผู้รับขนและออกหนังสือรับรองระวางหรือตู้สินค้าให้โจทก์ หลังจากส่งสินค้าแต่ละคราวให้จำเลยแล้ว โจทก์จะนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรียกเก็บเงินระหว่างประเทศจากผู้ซื้อผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตามวิธีสากลทั่วไป ซึ่งจำเลยเองนำสืบรับว่า จำเลยเป็นตัวแทนผู้ขนส่งติดต่อประสานงานกับโจทก์ จำเลยลงชื่อในใบตราส่งแทนผู้ขนส่ง จำเลยประกอบกิจการเป็นตัวแทนและนายหน้าให้ผู้รับจัดการขนส่งสินค้าทางทะเล และเป็นตัวแทนผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นในการดำเนินธุรกิจเนื่องจากการรับขนของทางทะเล ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญารับขนของทางทะเลคดีนี้กับโจทก์แทนผู้ขนส่ง เมื่อปรากฏว่าผู้ขนส่งสินค้าพิพาทมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญารับขนของทางทะเลแต่ลำพังตนเอง ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 แม้จำเลยจะไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่น ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิดดังที่จำเลยอุทธรณ์ อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเพราะจากการที่ผู้ซื้อได้รับสินค้าไปโดยยังไม่ได้ชำระเงินก่อนนั้น แสดงว่าโจทก์เองยินยอมให้ผู้ซื้อรับสินค้าไปก่อนโดยยอมให้มีการผ่อนชำระกัน จากข้อเท็จจริงในสำนวนน่าเชื่อว่าผู้ซื้อสินค้าจะชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์จนครบถ้วน การฟ้องคดีนี้จึงเป็นการเรียกค่าสินค้าซ้ำซ้อน ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิและได้รับความเสียหาย เห็นว่า สาระสำคัญของอุทธรณ์ข้อนี้เป็นเรื่องจำเลยอ้างว่าโจทก์จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ซื้อสินค้าจนครบถ้วน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นเรื่องการคาดคะเนของจำเลยเองโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนว่าผู้ซื้อสินค้าจะทำการชดใช้ค่าสินค้าทั้งหมดแก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่มีการชำระค่าสินค้ากันเพียงบางส่วนเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติกรณีย่อมไม่มีปัญหาข้อกฎหมายในข้อนี้ที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า หากจำเลยต้องรับผิดก็เป็นจำนวนเพียงไม่เกิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามจำนวนยอดหนี้ค่าสินค้าที่ค้างชำระเท่านั้น เห็นว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยในประเด็นจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ไว้โดยละเอียด ซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร จำนวนเงินที่จำเลยอ้างว่าจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามอุทธรณ์ก็ยังไม่แน่นอน อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มีฐานะเป็นเพียงตัวแทนของผู้ซื้อสินค้าในการติดต่อกับจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ขนส่งทางทะเล โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญากับผู้ขนส่งสินค้ารายนี้และไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคดี
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share