คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องสอดซึ่งมิได้เป็นโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ โจทก์ย่อมไม่ต้องถูกผูกมัดตามคำพิพากษาในคดีนั้นและมาฟ้องคดีอีกได้. ไม่ถือว่าฟ้องซ้ำ
ทรัพย์ที่โจทก์อ้างว่าเป็นของตนทั้งหมด ถ้าศาลเห็นว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ให้ศาลแบ่งให้ได้โดยไม่ถือว่าเป็นการนอกฟ้องนอกคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกนายแกนนางเบี้ยวปู่ย่าโจทก์ และของนายเหน็งบิดาโจทก์ จำเลยต่อสู้หลายประการ ได้ความว่า เมื่อนายแกนปู่โจทก์ตาย จำเลยได้ฟ้องขอแบ่งมรดกนายแกนมาครั้งหนึ่งซึ่งคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามคดีแพ่งแดงที่ 83/2488 ซึ่งนางหมุก มารดาโจทก์ได้ร้องสอด

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์กันบางอย่างและยกฟ้องบางอย่างศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้เอาที่นาหนองเลือดซึ่งเป็นสินสมรสของนายแกนนางเบี้ยวมาแบ่งกันตามส่วนอย่างนาหนองหงษ์ ส่วนได้ของนายเหน็งให้โจทก์ทั้ง 3 รับไปนอกนั้นยืน

จำเลยและนางจีดผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญายอมความในคดีแพ่งแดงที่ 83/2488 ไม่มีชื่อโจทก์คดีนี้เป็นคู่ความด้วยและไม่ปรากฏว่านางหมุกมารดาโจทก์เป็นผู้แทนโจทก์ สัญญายอมความฉบับนั้นจึงไม่ผูกพันโจทก์และเห็นว่า คดีที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ใด ๆ เป็นของตนทั้งหมดถ้าพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควรจะพิพากษาให้โจทก์รับแต่ส่วนแบ่งก็ได้ตามมาตรา 142 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ไม่ถือว่าเป็นการผิดคำฟ้องพิพากษายืน

Share