คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลยเช็คที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปีในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจนจำเลยกระทำโดยประมาทจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินคืนเป็นคำฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืนหาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่อายุความต้องถือตามบทบัญญัติเรื่องฝากทรัพย์เมื่อมิใช่เป็นการฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา671ต้องใช้อายุความ10ปีตามมาตรา164เดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายพนม งามกาละ เป็นลูกค้าธนาคารจำเลยสาขาสมุทรสาคร โดยเปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลยสาขาดังกล่าว หมายเลขบัญชี 308-30264-1 เมื่อวันที่11 พฤศจิกายน 2532 นายอุดม งามกาละ ซึ่งเป็นน้องชายของนายพนมได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับนางมะยม ดาราเย็น ในการทำสัญญาดังกล่าวนายอุดมได้มอบเช็คธนาคารจำเลย สาขาสมุทรสาคร หมายเลขที่ 0802644 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2532จำนวนเงิน 518,700 บาท ซึ่งนายพนมเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายให้แก่นางมะยมเป็นค่ามัดจำ แต่ในวันที่ 16 พฤศจิกายน2532 นายอุดมกับนางมะยมตกลงยกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าว นายอุดุมขอเช็คที่มอบให้นางมะยมเป็นค่ามัดจำคืนนางมะยมรับว่าจะคืนเช็คให้แต่ยังไม่ได้คืน ต่อมาเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2533 นายพนมทราบว่า นางวรรณา เรืองพิทักษ์ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของตนเองที่ธนาคารจำเลย สาขาสมุทรสาครและธนาคารจำเลยได้จ่ายเงินตามเช็คไปแล้ว นายพนมได้ตรวจสอบพบว่ามีการแก้ไขวันที่สั่งจ่ายในเช็คจากเดิมเป็นวันที่ 17เมษายน 2533 ซึ่งมีการแก้ไขที่เห็นได้โดยประจักษ์ชัดแจ้งนายพนมจึงฟ้องนางมะยมและนางวรรณาเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร ตามคดีหมายเลขแดงที่ 3176/2538 ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว นายพนมถึงแก่กรรมโจทก์ในฐานะทายาทจึงเข้าดำเนินคดีแทน การที่ธนาคารจำเลย สาขาสมุทรสาคร จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวให้แก่นางวรรณา ทั้งที่เช็คมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อสาระสำคัญซึ่งเห็นได้โดยประจักษ์ เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระจำนวนเงิน518,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารจำเลยสาขาสมุทรสาคร จ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันทำละเมิด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันไว้กับจำเลย เช็คพิพาทที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าวของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปี ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจน จำเลยกระทำโดยประมาท จ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยชดเชยใช้เงินคืน ดังนี้ เป็นฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยก็เพื่อแสดงว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะไม่กระทำตามหน้าที่ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659วรรคสาม บัญญัติไว้เท่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่ อายุความในคดีนี้จึงต้องถือตามบทบัญญัติในเรื่องฝากทรัพย์เมื่อมิใช่เป็นกรณีฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องจำเลยโดยมูลละเมิด มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามกฎหมายดังกล่าวไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share